ช่วงปี 2020 ถือเป็นปีทองของนักลงทุนที่ลงทุนในสินทรัพย์ที่มีการเติบโตสูงหรือ Growth Asset ไม่ว่าจะเป็นหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในกลุ่มของ Ark Invest ที่ได้รับประโยชน์จากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด รวมถึงสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างบิทคอยน์ขณะที่สินทรัพย์รูปแบบเน้นคุณค่าอย่างเช่นหุ้นที่ยังอยู่ในธุรกิจดั้งเดิมตามแนวทางของ Warren Buffet สร้างผลตอบแทนได้ต่ำ
แต่พอเข้าถึงช่วงกลางปี 2021 เป็นต้นมา Growth Asset เริ่มถูกเทขายจากการที่ความคาดหวังในการเติบโตโดยได้แรงหนุนจาก New Normal เริ่มน้อยลง โดยเฉพาะกองทุนของ Ark Invest ที่ถึงล่าสุดผลตอบแทนติดลบไปแล้วประมาณ 60% จากจุดสูงสุดของปีที่แล้ว
ขณะที่ Value Asset เริ่มที่จะสร้างผลตอบแทนกลับขึ้นมาจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด จนทำให้เกิดตัวเลขการเปรียบเทียบสไตล์การลงทุนแบบเน้นการเติบโตของ Ark Invest ที่เน้นการลงทุนในธีมของ Disruptive ธุรกิจดั้งเดิมกับสไตล์การลงทุนของ Warren Buffet ที่ให้ความสำคัญกับมูลค่าพื้นฐานของกิจการ
ล่าสุดผลตอบแทนการลงทุนสไตล์ของ Warren Buffet สามารถกลับมาแซงเอาชนะการลงทุนสไตล์ Ark Invest ไปแล้ว โดยเป็นฝ่ายของ Ark Invest ที่ผลตอบแทนพลิกจากที่พุ่งแรงกลับลงมาตกอย่างรุนแรง ขณะที่กราฟผลตอบแทนสไตล์ Warren Buffet แม้จะลดลงแต่ก็ไม่หวือหวามากนัก ขณะที่ตอนพลิกกลับมาเป็นขาขึ้นก็ค่อยๆปรับตัวขึ้น จนทำให้เกิดการตั้งคำถามว่าสไตล์การลงทุนแบบไหนกันแน่ที่เป็นผู้ชนะตัวจริง
มุมมองส่วนตัวคิดว่าเราไม่ควรนำสไตล์การลงทุนสองแบบนี้มาเปรียบเทียบกับแบบกระต่ายกับเต่า แต่ควรจะมองว่าสไตล์การลงทุนแบบไหนที่เหมาะสมกับเรามากที่สุดต่างหาก ไม่มีความจำเป็นต้องหาสไตล์ลงทุนที่ดีที่สุดแต่ต้องหาสไตล์ที่เหมาะกับจริตของแต่ละคนมากกว่า
สำหรับผู้ที่คิดว่าตัวเองเหมาะสมกับ Growth Asset ต้องเข้าใจธรรมชาติของสินทรัพย์ประเภทนี้ก่อนว่ายังอยู่ในช่วงของการเติบโตและอายุของธุรกิจหรือสินทรัพย์ในกลุ่มนี้ยังค่อนข้างน้อย บางธุรกิจอาจจะยังไม่มีกำไรด้วยซ้ำ จึงต้องทำใจรับกับความผันผวนของราคาให้ได้เพราะช่วงเวลาที่กิจการเติบโตหรือมีความต้องการเข้ามา ราคาหุ้นจะปรับตัวขึ้นค่อนข้างแรงในระดับหลายเด้งได้เลยทีเดียว
แต่ถ้าผลประกอบการออกมาเติบโตลดลงความผิดหวังของนักลงทุนก็จะรุนแรงตามไปด้วยและทำให้เกิดแรงเทขายที่รุนแรงอย่างที่เกิดขึ้นกับหุ้น META และ NETFLIX ที่ราคาหุ้นปรับตัวลดลงกว่า 20% จากยอดผู้ใช้งานที่ลดลง
ขณะที่ Value Asset แม้จะมองว่าเป็นกิจการที่แทบจะไม่มีการเติบโตอีกแล้ว เป็นธุรกิจที่รายได้เติบโตในระดับเลขหลักเดียว ไม่มีเทคโนโลยีที่หวือหวา แต่ต้องไม่ลืมว่ากิจการเหล่านี้มีความแข็งแกร่งจากการที่มีอายุธุรกิจยาวนานบางแห่งแตะระดับร้อยปีมีแบรนด์ที่แข็งแกร่งอย่างเช่น Coca Cola หรือ McDonald ธุรกิจเหล่านี้จะสามารถผ่านวิกฤติต่างๆได้ไม่ยาก
ราคาหุ้นของกิจการเหล่านี้จะโตแบบไม่หวือหวาแต่ยังโตไปได้เรื่อยๆ เหมาะสมกับผู้ที่ไม่ต้องการรับความเสี่ยงมาก ไม่ต้องการเจอกับความผันผวน และมองการลงทุนในระยะยาวซึ่งต่างจาก Growth Asset ที่อาจจะต้องลงทุนเป็นรอบๆโดยใช้กราฟเทคนิคเข้ามาช่วยจับจังหวะซื้อขาย หากแนวโน้มเป็นขาลงก็อาจจะต้องขายทำกำไรเป็นรอบไปก่อนโดยจะต้องอ่านทิศทางของธุรกิจให้ทัน นักลงทุนก็ต้องหมั่นติดตามข่าวสารการลงทุนอย่างต่อเนื่อง
แม้ว่าตัวชี้วัดของการลงทุนก็คือตัวเลขผลตอบแทน แต่อีกสิ่งที่แม้จะวัดมูลค่าไม่ได้แต่นักลงทุนต้องให้ความสำคัญคือสภาพจิตใจที่เกิดขึ้นจากการลงทุน ถ้าหากมีแต่ความเครียดกังวล แม้จะสร้างผลตอบแทนได้สูงก็อาจะไม่ตอบโจทย์ชีวิตของเราก็เป็นได้ ดังนั้นนักลงทุนควรจะศึกษาธรรมชาติของสินทรัพย์แต่ละรูปแบบแล้วหันมามองตัวเองว่าเหมาะสมกับแนวทางลงทุนแบบไหนแล้วเลือกลงทุนในทิศทางนั้น
สุดท้ายแล้วในระยะยาวไม่ว่าจะลงทุนใน Value Asset หรือ Growth Asset ก็สามารถเป็นผู้ชนะได้แน่นอนครับอ