ปัจจุบันนี้การลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศได้ถูกแบ่งออกเป็นธีมการลงทุนต่างๆ อย่างเช่นกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้า กลุ่มเอไอ กลุ่มบล็อกเชน ฯลฯ โดยนักลงทุนสามารถเลือกลงทุนได้ตามความความชอบส่วนตัว และความเสี่ยงที่ยอมรับได้ไม่ว่าจะลงทุนในหุ้นรายตัวหรือ ETF
อย่างไรก็ตาม นายณพวีร์ พุกกะมาน นักลงทุนและผู้ก่อตั้ง Creative Investment Space (CIS) สถาบันให้ความรู้ด้านนวัตกรรมการลงทุนรูปแบบใหม่ แนะนำว่า ธีมการลงทุนเหล่านี้ จำเป็นที่จะต้องเลือกช่วงเวลาที่เหมาะสมในการลงทุนด้วย ถึงจะสามารถทำกำไรได้ บางครั้งนักลงทุนอาจเข้ามาช้าเกินไปจนราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปสูงแล้ว บางครั้งก็เข้าซื้อในช่วงที่ราคาทำจุดสูงสุดและกำลังเป็นขาลงหรืออาจจะถือลงทุนนานแต่ราคาก็ไม่ได้ปรับตัวขึ้นเลย
นั่นเป็นเพราะเทคโนโลยีต่างๆ จะมี Time Cycle ของตัวเอง อย่างเช่นกลุ่มบล็อกเชนที่จะมีราคาเคลื่อนไหวตามราคาของบิทคอยน์ ซึ่งจะมีไซเคิลขาขึ้นและขาลงชัดเจน หรือเทคโนโลยีที่มาใหม่ต้องอาศัยระยะเวลาในการที่จะเข้าสู่ภาวะ Mass Adoption
ความยากในการลงทุนคือการจับจังหวะลงทุนในช่วงที่ไซเคิลของเทคโนโลยีกำลังเป็นขาขึ้นพอดีซึ่งแต่ละเซกเตอร์อาจจะมีช่วงเวลาที่ต่างกัน ถ้าหากจับจังหวะของตลาดผิดก้จะพลาดโอกาสไปได้
แต่ถ้าหากไม่ต้องการจะเสี่ยงกับเรื่องของ Market Timing หรือไม่มีเวลาติดตามพอร์ตลงทุนมากนัก และต้องเลือกลงทุนหุ้นเทคโนโลยีเพียงแค่หนึ่งกลุ่ม บางทีหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์อาจจะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ
เนื่องจากเซมิคอนดักเตอร์ไม่ว่าจะเป็นชิปเซต GPU CPU หรืออื่นๆล้ วนแล้วแต่เป็นตัวขับเคลื่อนทำให้เทคโนโลยีใหม่สามารถเดินหน้าไปได้ แทบจะเรียกได้ว่าทุกอุตสาหกรรมจะต้องพึ่งพาเซมิคอนดักเตอร์ทั้งสิ้น
ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมเอไอ เมตาเวิร์ส โรโบติกส์ รถยนต์ไฟฟ้า ควอนตัมคอมพิวเตอร์ รวมถึงอุปกรณ์อีเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ล้วนแล้วแต่ต้องอาศัยฮาร์ดแวร์อย่างเซมิคอนดักเตอร์ในการประมวลผลทั้งสิ้น ซึ่งเทคโนโลยีที่มีความซับซ้อนมากขึ้นจำเป็นที่จะต้องใช้ฮาร์ดแวร์ที่มีประสิทธิภาพสูงมากยิ่งขึ้น ผู้ผลิตจึงมีโอกาสที่จะพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆออกมารองรับกับความต้องการของอุตสาหกรรมต่างๆ
อย่างเช่นกระแสการมาของเอไอทำให้มีความจำเป็นต้องใช้ชิปเซตประมวลผลที่มีกำลังสูงมากขึ้นทำให้ NVDIA ซึ่งเป็นผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ประมวลผลรายใหญ่ของโลกต้องสร้างฮาร์ดแวร์ที่รองรับเอไอขึ้นมาโดยเฉพาะและมีราคาขายแตะระดับ 10,000 ดอลลาร์ ต่อชิ้นเลยทีเดียว ตลอดจน Microsoft และ Google ที่หันมามุ่งเน้นเอไอก็ต้องลงทุนสร้างฮาร์ดแวร์ของตัวเอง
ขณะเดียวกันการมาของเมตาเวิร์สและโรโบติกส์ทำให้ NVDIA ต้องออกฮาร์ดแวร์ที่รองรับกับเทคโนโลยีดังกล่าวด้วย รวมถึงรถยนต์ไฟฟ้าที่ต้องอาศัยระบบอีเล็กทรอนิกส์ในการขับเคลื่อนทั้งหมดเปรียบเสมือนกับสมาร์ทโฟนที่วิ่งได้จำเป็นต้องอาศัยชิปประมวลผลด้วยทุกคัน
กล่าวได้ว่าหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์อย่าง NVDIA AMD TSMC ฯลฯ ต่างเข้าไปมีส่วนร่วมในการเติบโตของแทบจะทุกอุตสาหกรรม แม้บางอุตสาหกรรมอาจจะเป็นขาลงก็จะมีบางอุตสาหกรรมที่เป็นขาขึ้นได้เช่นกัน การถือหุ้นในกลุ่มนี้จึงเหมือนกับการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตไปในตัวและมีแนวโน้มว่าจะยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมนี้ก็มีความเสี่ยงที่จะตกเป็นเครื่องมือทางการเมืองระหว่างประเทศโดยเฉพาะความขัดแย้งระหว่างจีนและสหรัฐฯ ตลอดจนมีโอกาสที่ไซเคิลของซัพพลายอาจจะล้นต่อความต้องการมากเกินไปจ นส่งผลต่ออัตรากำไรของผู้ผลิตได้เช่นกัน เช่นเดียวกับความเสี่ยงทางด้านการพัฒนาเทคโนโลยี ที่ผู้ผลิตอาจจะไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลง จนเสียความสามารถในการแข่งขันกับคู่แข่ง
ถ้าหากคิดจะลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มเซมิคอนดักเตอร์น่าจะเป็นเซกเตอร์ที่ควรจะมีติดพอร์ตเอาไว้เ พราะแทบจะมีส่วนร่วมในทุกอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโตและอัตรากำไรของบริษัทเหล่านี้ต่างอยู่ในระดับสูง ถึงอย่างไรก็ต้องคำนึงถึงความเสี่ยงเอาไว้ด้วย