ดราม่าสับแหลกเลยครับจากกรณีของสาวนักท่องเที่ยวไทย นึกคึกแหกระเบียบการใช้รถไฟฟ้าของญี่ปุ่น ถ่ายคลิปเต้นติ๊กตอก (TikTok) บนรถไฟแบบไม่สนสายตาชาวเมือง แถมพอคนไปเตือนก็ตอบกลับด้วยข้อความสุดประชดประชัน ให้รับรู้ว่ามั่นแบบไม่เกรงใจใคร โดยบางข้อความตอบกลับที่แฝงน้ำเสียงจิกกัด เชิงเหยียดว่าคนคอมเมนต์ล่ะเคยไปญี่ปุ่นหรือยัง อย่าง “คนญี่ปุ่นเขาโอเพ่นคะ พี่เคยไปญี่ปุ่นยังคะ??? ลองออกจากกะลาดู้ววว โลกไปถึงไหนแล้วคะ” “แต่ยังดีมีเงินไปเที่ยวให้ต่างชาติให้ดู แล้วคุณละไปบ้างยังหรืออยู่แค่…” พาเอาชาวเน็ตถล่มทัวร์ลงยับ จนสุดท้ายต้องออกมาโพสต์ขอโทษเหมือนเป็นคนละคน แต่รู้ไหมว่าจริง ๆ แล้วญี่ปุ่นนี่แหละเมืองท่องเที่ยวขวัญใจคนไทย ที่แห่กันไปเที่ยวปีละเป็นแสน ๆ คน
ญี่ปุ่นนับเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญในการท่องเที่ยวของชาวไทยมาหลายปีแล้วครับ ได้รับความนิยมมาก ๆ จนทำให้แต่ละปีมีคนไทยบินลัดฟ้าไปแดนปลาดิบหลายแสนคน จนยอดพุ่งทะลุหนึ่งล้านคนสองปีติด ยอดของปี 2561 คนไทยไปญี่ปุ่น 1.13 ล้านคน และปี 2562 มียอด 1.31 ล้านคน ซึ่งจำนวนพุ่งขึ้นสูงต่อเนื่องกว่า 10 เท่าตั้งแต่ปี 2555 ที่มียอดเพียง 2.6 แสนคน และก่อนหน้านั้นก็เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณปีละแสนกว่าคนเท่านั้น ทำให้ไทยเป็นอันดับหนึ่งประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ไปเที่ยวญี่ปุ่นมากที่สุด
โดยสาเหตุสำคัญที่ตัวเลขมันพุ่งต่อเนื่องขนาดนี้เป็นเพราะการประกาศยกเว้นวีซ่าให้กับนักท่องเที่ยวจากหลายประเทศ รวมถึงนักท่องเที่ยวจากไทย ตั้งแต่ปี 2556 ทำให้คนไทยสามารถพำนักอยู่ในญี่ปุ่นได้นานถึง 15 วันโดยไม่ต้องใช้วีซ่า ภายใต้เงื่อนไขที่ต้องมีเอกสารกำหนดการพำนักในญี่ปุ่นที่ชัดเจน ตั๋วเครื่องบินขากลับ ผู้ติดต่อในญี่ปุ่น รวมถึงต้องยืนยันได้ว่าจ่ายไหว หรือง่าย ๆ คือเอกสารที่ยืนยันได้ว่ายังไงก็จะกลับไทยแน่ ๆ ซึ่งโดยรวมแล้วง่ายกว่าการยื่นขอวีซ่าเยอะถ้าวางแผนเที่ยวมาแล้วอย่างดี หรือซื้อแพ็กเกจทัวร์ไป และด้วยเวลาขนาดนี้ก็นานพอจะเที่ยวกันให้เต็มอิ่ม จนเผลอเงินจะหมดก่อนเสียด้วยซ้ำ โดยการยกเลิกวีซ่านี้เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการส่งเสริมการท่องเที่ยวในสมัยรัฐบาลของนายก ชินโซ อาเบะ (Shinzo Abe) ที่เรียกกันว่า “อาเบะโนมิกส์ (Abenomics)” ด้วยเหตุนี้ทำให้ญี่ปุ่นกลายเป็นอีกหนึ่งประเทศที่คนไทยเที่ยวง่ายมาก ๆ
อีกปัจจัยสำคัญซึ่งเป็นที่รู้ดีอยู่แล้ว คือ คนไทยเราคุ้นเคยและได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมญี่ปุ่นมามากพอสมควร ตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่สองที่ทหารญี่ปุ่นยกพลบุกไทยและใช้เป็นทางผ่านไปยังพม่า หลังจากนั้นก็มีสัมพันธ์ทางการทูตต่อกันเรื่อยมา ทำให้คนไทยเริ่มซึมซับวัฒนธรรมญี่ปุ่นผ่านสื่อ สินค้า อาหาร ฯลฯ จึงไม่แปลกถ้าวันหนึ่งจะอยากไปสัมผัสวัฒนธรรมเหล่านั้นอย่างใกล้ชิดสักครั้ง และการที่มีเที่ยวบินตรงถึงญี่ปุ่นก็ทำให้คนไทยไปญี่ปุ่นง่ายด้วยเที่ยวบินไม่กี่ชั่วโมง
นอกจากนี้ก็เป็นปัจจัยอื่น ๆ ของประเทศญี่ปุ่นเองที่ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกเดินทางมาเยี่ยมเยือนได้ตลอดอยู่แล้ว ทั้งเรื่องของความสะดวกสบายในการเดินทางมาและเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศ ที่เต็มไปด้วยขนส่งสาธารณะ จะไปที่ไหนก็รถไฟฟ้าเต็มไปหมด เดินทางข้ามจังหวัดก็รถไฟความเร็วสูงอย่าง ชินคันเซน (Shinkansen) รถไฟที่เร็วอันดับ 4 ของโลกที่นักท่องเที่ยวก็ต่างอยากจะลองนั่งดูสักครั้ง และยังมีบ้างเมืองที่ดูมีระเบียบสวยสะอาดตา มีความปลอดภัยสูงจนในปีนี้ ดัชนีสันติภาพโลก (Global Peace Index) ชี้ว่าญี่ปุ่นเป็นอันดับ 9 ของประเทศที่ปลอดภัยที่สุดในโลก ทำให้นักท่องเที่ยวสบายใจได้ตลอดทริป และแน่นอนว่าแหล่งท่องเที่ยวมากมายที่เต็มไปด้วยวัฒนธรรมและธรรมชาติที่งดงามก็มัดใจนักท่องเที่ยวได้ดี
ก่อนหน้านี้ในปี 2562 ญี่ปุ่นก็มียอดพีก มีนักท่องเที่ยวต่างชาติมากที่สุดเป็นประวัติกาลถึง 31.8 ล้านคน พอเริ่มเปิดประเทศอีกครั้งก็ได้ถึงเวลาฟื้นตัว โดยในปีก่อนมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวญี่ปุ่นแล้วกว่า 3.8 ล้านคน ถึงแม้จะคิดเป็น 1 ใน 10 ของจำนวนก่อนโควิด แต่ก็นับว่าเป็นสัญญาณที่ดีมาก ด้วยการกลับมาเปิดยกเว้นวีซ่าให้นักท่องเที่ยวอีกครั้งในเดือนตุลาคม หลังจากยกเลิกไปช่วงหนึ่งจากมาตรการโควิด ก็ทำให้สามเดือนส่งท้ายปีก่อนคึกคักมาก จนเดือนธันวาคมเดีอนเดียวมีนักท่องเที่ยวถึง 1.37 ล้านคน 1 ใน 3 ของยอดรวมทั้งปีเลย และในปีนี้ เฉพาะครึ่งปีแรกมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวญี่ปุ่นถึง 10 ล้านคน
ส่วนยอดคนไทยเข้าญี่ปุ่นก็ฟื้นตัวตาม โดยปี 65 มียอด 1.98 แสนคน และเพียงครึ่งปีแรก มีคนไทยไปเยือนญี่ปุ่นแล้วกว่า 4.97 แสนคน มากกว่ายอดรวมปีก่อนเกินสองเท่าตัว และองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศญี่ปุ่น (JNTO) ยังได้คาดการณ์ว่าปีนี้จะมียอดคนไทยเที่ยวญี่ปุ่นกลับไปแตะล้านอีกครั้ง เพราะจากยอดตอนนี้ จำนวนนักท่องเที่ยวไทยฟื้นตัวแล้วกว่า 70% เทียบกับปี 62
กลับกันฝั่งนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นเข้าไทยยังฟื้นตัวได้ช้ากว่าจนขาดดุลการท่องเที่ยว อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เพราะก่อนหน้านี้มีชาวญี่ปุ่นมาไทยมากกว่าไทยไปญี่ปุ่นมาตลอด แต่ครึ่งปีแรกนี้มีคนญี่ปุ่นมาไทยเพียง 3.27 แสนคน และนับเป็นเรื่องตลกที่ชวนปวดหัวเมื่อพบว่าที่คนญี่ปุ่นมาเที่ยวไทยน้อย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะหาตั๋วเครื่องบินขากลับไม่ได้ สาเหตุมาจากคนไทยแห่ไปญี่ปุ่นกันเยอะจนตั๋วขาออกไทยแทบไม่เหลือให้คนญี่ปุ่นได้กลับบ้านกันเลย
ปัจจัยสำคัญที่หนุนให้คนไทยไปญี่ปุ่นมากกว่าคือเรื่อง “เงินเยนอ่อนค่า” ที่สุดในรอบ 26 ปี ทำให้เงินบาทไทยแลกเงินเยนได้มากกว่า และทำให้คนไทยใช้จ่ายในญี่ปุ่นได้คุ้มขึ้น ซึ่งทำให้ตั้งแต่ปี 65 เป็นโอกาสทองในการเที่ยวญี่ปุ่นของหลาย ๆ ชาติต่อเนื่องมาถึงปีนี้ โดยใครที่ยังลังเลอาจต้องรีบหน่อย เพราะทางธนาคารแห่งประเทศญี่ปุ่น (Bank of Japan) อาจมีแผนปรับมาตรการทางการเงินซึ่งอาจทำให้เงินเยนกลับมาแข็งค่าได้ในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ก็ต้องตามดูว่าหากเงินเยนกลับมาแข็งค่าแล้วจะทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นเข้าไทยกลับมาเพิ่มขึ้นให้เกินดุลเหมือนก่อนได้ไหม
เมื่อปลายปีก่อนมีการสำรวจจาก วีซ่า (Visa) เกี่ยวกับจุดหมายการท่องเที่ยวของคนไทยในปี 2566 ซึ่งญี่ปุ่นก็ยืนหนึ่งเลย ผู้เข้าร่วมถึง 81% ว่าปี 66 นี้ไปเยือนแดนอาทิตย์อุทัยแน่นอน แสดงถึงความนิยมท่องเที่ยวญี่ปุ่นของคนไทยที่เหนียวแน่นอยู่ตลอดจริง ๆ
นั่นทำให้เราเห็นว่าจริง ๆ แล้วประเทศญี่ปุ่นเป็นหนี่งในประเทศที่มีความสัมพันธ์ด้านการท่องเที่ยวกับไทยที่สำคัญมากจริง ๆ และแม้ว่าคนไทยจำนวนมากจะเลือกไปเที่ยวญี่ปุ่น แต่ก็มีอีกหลายล้านคนที่ไม่ไปหรือไม่มีโอกาสได้ไป แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องที่จะนำมาดูถูกหรือเหยียดหยามกันได้ เพราะการจะไปเที่ยวที่ไหนก็ขึ้นอยู่กับความชอบและเงื่อนไขการใช้ชีวิตของแต่ละคนจริง ๆ และบางทีหลายคนที่ยังไม่มีโอกาสได้ไปก็อาจมีความรู้ความเข้าใจในประเทศนั้นดีกว่าบางคนที่ไปแบบไม่รู้เรื่องรู้ราวเสียอีก แต่ที่สำคัญเลยคือ ความเข้าใจและให้เกียรติผู้อื่น รวมถึงการให้เกียรติสถานที่ต่าง ๆ ยิ่งในต่างแดน เพราะเมื่อไปเยือนที่ไหนเราก็แบกชื่อเสียงของประเทศไว้ด้วยเสมอ ควรศึกษาวัฒนธรรมและระเบียบต่าง ๆ เสมอ เพื่อไม่เป็นการสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น สุดท้ายก็ขอให้ทุกคนท่องเที่ยวให้สนุกในช่วงไฮซีซันที่กำลังจะมาถึงนะครับ