CTD - Connect the Dots
  • Home
  • Business
  • People
  • Investment
  • Opinion
  • CIS
  • News
    • News
    • Sustainable
  • Contact
    • Contact
    • About Us
Reading: การตลาดและสงคราม ทำให้ผู้หญิงเริ่มโกนขนรักแร้และหน้าแข้งได้อย่างไร?
Share
CTD - Connect the Dots
Aa
  • Home
  • Business
  • People
  • Investment
  • Opinion
  • CIS
  • News
  • Contact
Search
  • Home
  • Business
  • People
  • Investment
  • Opinion
  • CIS
  • News
    • News
    • Sustainable
  • Contact
    • Contact
    • About Us
Follow US
Copyright © 2020 Creative Investment Space – All Rights Reserved
CTD - Connect the Dots > Blog > Opinion > การตลาดและสงคราม ทำให้ผู้หญิงเริ่มโกนขนรักแร้และหน้าแข้งได้อย่างไร?
Opinion

การตลาดและสงคราม ทำให้ผู้หญิงเริ่มโกนขนรักแร้และหน้าแข้งได้อย่างไร?

korlajeshop@gmail.com
Last updated: 2024/03/12 at 1:10 PM
[email protected] Published December 30, 2023
Share

โดยทั่วไปแล้วในโลกนี้ มนุษย์ไม่ได้รังเกียจขน ขนจึงเป็นเรื่องธรรมชาติของคนทั่วไป และคนที่มีหน้าที่จะต้องกำจัดขนนั้นคือคนที่มีสถานะพิเศษ เช่นในโรมันโบราณการ “ไร้ขน” เป็นเรื่องของชนชั้นสูงที่ผิวพรรณต้องเกลี้ยงเกลา หรือในวัฒนธรรมพุทธหรือคริสเตียนยุคกลาง การ “โกนหัว” ไม่ว่าจะทั้งหมดหรือบางส่วนมันก็เป็นเรื่องของนักบวช ไ่ม่ใช่คนปกติ หรือเต็มที่เลยในวัฒนธรรมโบราณการ “กำจัดขน” ก็เป็นเรื่องของพิธีกรรมพิเศษ (เช่นการแต่งงาน) เท่านั้น ไม่ใช่เรื่องในชีวิตประจำวัน

หรือพูดง่ายๆ ตลอดประวัติศาสตร์ในภาพรวม มนุษย์ไม่ได้มีปัญหากับขน ไม่ได้มองว่ามันเป็นสิ่งที่ต้องกำจัด และจริงๆ การกำจัดมันก็ไม่ได้ง่ายด้วย มันหมายถึงการใช้ของมีคมกับร่างกายและต้องมาลับเรื่อยๆ และนี่คือเหตุผลที่ผู้ชายในอดีตมักจะหนวดเพิ้มทั้งนั้น มันไม่ได้โกนกันง่ายๆ

การปฏิวัติการโกนหนวดของผู้ชายเกิดขึ้นในต้นศตวรรษที่ 20 เมื่อบริษัท Gillette เกิดขึ้นในอเมริกาจากไอเดียของการทำ “มีดโกนแบบใช้แล้วทิ้ง” เป็นครั้งแรกของมนุษยชาติ โดยวิธีการคือ เค้าเอาแผ่นสแตนเลสมีรีดบางๆ จนคม ให้คนเอามาโกนหนวด และพอโกนๆ ไปแล้วทู่ก็ทิ้งไปซะ เปลี่ยนใบมีดใหม่ คมเหมือนเดิม ไม่ต้องมานั่งลับมีดโกนเหล็กหล่อแบบคนยุคก่อน

ช่วงแรก Gillette โตเร็วสุดๆ ยอดขายเพิ่มขึ้นทุกปีๆ แต่บริษัทก็เริ่มรู้สึกเรื่อยๆ ว่าถึงที่สุดยอดขายมันจะตัน มันต้องหาตลาดใหม่ๆ และวิธีคิดในยุคโน้นการขยายตลาดที่ชัวร์ไม่ใช่การไปทำตลาดสินค้าในประเทศอื่น แต่เป็นการให้คนกลุ่มอื่นในสังคมใช้สินค้าในแบบอื่นๆ ที่ต่างออกไป

และนี่ก็นำมาสู่ขนรักแร้ของผู้หญิง

นี่บังเอิญจริงๆ ที่ในอเมริกาทศวรรษ 1910 แฟชั่นฮิตในฤดูร้อนคือ “เสื้อแขนกุด”

คือต้องเข้าใจก่อนว่าผู้หญิงในโลกตะวันตกนั้นต้องเรียบร้อยและอยู่กับร่องกับรอยมาเป็นพันปีภายใต้อิทธิพลของศาสนาคริสต์ และแม้ว่าช่วงศตวรรษที่ 18-19 ศาสนาจะเลื่อมอิทธิพลลงมากแล้วผู้หญิงก็ยังแต่งกายเรียบร้อยและมิดชิดอยู่เช่นยุคเคร่งศาสนา

มาทศวรรษ 1900 เกิดขบวนการเรียกร้องสิทธิเลือกตั้งให้ผู้หญิง ซึ่งในแง่หนึ่งมันก็เป็นการเรียกร้องให้ผู้หญิงมีเสรีภาพในการ “แสดงออก” ในพื้นที่สาธารณะขึ้น และผลทางวัฒนธรรมในทศวรรษถัดมาก็คือ ผู้หญิงก็แต่งกายได้ “เปิดเผย” ขึ้น และโลกแฟชั่นก็สะท้อนสิทธินี้ผ่านการออกแบบเสื้อแขนกุด

การใส่เสื้อแขนกุดในยุคนั้นพอเริ่มฮิตมันก็เกิดปรากฎการณ์ที่คนเริ่มเห็นขนรักแร้ผู้หญิง และคนก็เริ่มถกเถียงกันถึง “ความเหมาะสม” เพราะแม้ว่าจะ “ก้าวหน้า” ขึ้นกว่าก่อน แต่แนวคิดในยุคนั้นก็ยังมองว่าผู้หญิงมีหน้าที่ปกปิดเส้นขนในร่างกายที่เปิดสู่สาธารณะ และในยุคแฟชั่นเสื้อแขนกุด ขนใต้วงแขนของพวกเธอมันเตะตาเหลือเกิน

พวกแรกๆ ที่ออกมารณรงค์ให้ผู้หญิงโกนขนรักแร้คือพวกนิตยสารผู้หญิง ซึ่งเอาจริงๆ พวกนี้ก็ถือโอกาสกับการขยายตัวของ Gillette และพยายามจะชี้ทำนองว่า การใส่เสื้อแขนกุดทั้งที่มีขนรักแร้ปุกปุยมันอุจาด และขนาดผู้ชายเค้ายังโกนหนวดทุกเช้าได้ ทำไมพวกเธอจะโกนขนรักแร้ทุกเช้ามั่งไม่ได้ล่ะ?

ตอนแรกๆ Gillette ก็ไม่ได้สนใจอะไรพวกนี้หรอก เพราะตลาดผู้ชายมันยังดีอยู่ แต่พอกลางทศวรรษ 1910 ตลาดเริ่มอิ่มตัว Gillette ก็เลยคิดว่าต้องของขยายไปตลาดผู้หญิงดู และมีดโกนสำหรับโกนขนรักแร้ผู้หญิงโดยเฉพาะของ Gillette ก็ออกสู่ท้องตลาดในปี 1915 ซึ่งในปีนั้น พวกนิตยสารผู้หญิงก็ยิ่งระดมโฆษณาโจมตีการมีขนรักแร้ของผู้หญิงว่าเป็นเรื่องอุจาด

ซึ่งถ้าจะอธิบายสั้นๆ พวกนิตยสารผู้หญิงใช้เวลาราว 20 ปีในการเปลี่ยนให้ผู้หญิงอเมริกันเกลียดขนรักแร้ตัวเองและต้องโกนทิ้งตลอด คือต้องราวทศวรรษ 1930 โน่นแหละที่คนจะเลิกเถียงกันว่าจะโกนขนรักแร้หรือไม่โกนดี และจนทุกวันนี้ถ้ามีสำรวจก็จะพบว่าผู้หญิงอเมริกันกว่า 95% ก็โกนขนรักแร้สม่ำเสมอ

แต่ที่น่าสนใจไม่แพ้กันก็คือ “ขนหน้าแข้ง”

ตอนแรกขนหน้าแข้งเป็นสิ่งที่ไม่ต้องโกน เพราะแม้ว่ากระโปรงผู้หญิงอเมริกันจะสั้นลงเรื่อยๆ ในศตวรรษที่ 20 แต่สิ่งที่ผู้หญิงทำเพื่อปกปิดขนหน้าแข้งก็คือการใส่ถุงน่อง และ “สังคม” ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร

อย่างไรก็ดีในทศวรรษ 1940 เมื่ออเมริกาเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 มันมีทั้งการจำกัดวัสดุทำให้ถุงน่องขาดตลาด และการเพิ่มภาษีพวกสินค้าเสริมความงามอย่างถุงน่อง มันเลยทำให้มันสมเหตุสมผลทางเศรษฐกิจขึ้นที่ผู้หญิงอเมริกันจะโกนขนหน้าแข้งแทนการซื้อถุงน่องมาใช้ ซึ่งก็ต้องเข้าใจว่าราคามันแพงมากๆ ไปเป็นเกือบสิบปีตลาดช่วงสงครามโลก ดังที่

และผลก็คือหลังสงครามโลก คนก็ชินไปแล้วกับการโกนขนหน้าแข้ง และก็ไม่รู้สึกถึงความจำเป็นในการใส่ถุงน่องที่ปิดบังขนหน้าแข้งอีก โดยหลังจบสงครามโลกมา 20 ปีในทศวรรษ 1960 เค้าไปสำรวจก็พบว่ามีคนผู้หญิงอเมริกันมากถึง 98% ที่โกนขนหน้าแข้งเป็นประจำ กล่าวคือพวกเธอก็รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องปกติและเป็น “หน้าที่” ที่พวกเธอจะต้องทำแบบนั้น เนื่องจากการโชว์ขนของผู้หญิงถูกมองว่ามันไม่สุภาพและอุจาดตา

จะเห็นว่าการเปลี่ยนค่านิยมให้คน “เห็นขนเป็นปัญหา” จนต้องซื้อผลิตภัณฑ์อะไรไป “กำจัด” นั้นต้องใช้เวลาเป็นสิบปี อย่างไรก็ดีผลมันก็คงทนถาวร เพราะสุดท้ายรากฐานความคิดของผู้หญิงอเมริกันว่าขนรักแร้และขนหน้าแข้งเป็นสิ่งที่ต้องกำจัดนั้นต่อมามันก็ขยายตัวจนเกิด “อุตสาหกรรมกำจัดขน” ในศตวรรษที่ 21 ที่มูลค่าทั่วโลกหลักหลายพันล้านเหรียญเข้าไปแล้ว และตอนนี้จักวาลของสินค้ามันไม่ได้มีแค่มีดโกนแล้ว มันมีทั้งครีมกำจัดขน บริการแวกซ์ขน ไปจนถึงบริการยิงเลเซอร์กำจัดขนถาวร

แน่นอน ธุรกิจกลุ่มนี้แต่ละอย่างมันก็มีรายละเอียดของมันอย่างยาวๆ แบบที่จะนำมาเล่าหมดในที่นี้ไม่ได้ แต่ประเด็นก็คือ ธุรกิจเหล่านี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้ามันไม่มีกระบวนการกดดันให้ผู้หญิงรังเกียจ “ขน” ของตัวเอง

ซึ่งธุรกิจพวกนี้ก็น่าจะมีอนาคตที่สดใสไปยาวๆ เพราะแม้ปัจจุบันผู้หญิงยุคใหม่ๆ จะกลับมา “เสริมอำนาจ” ให้ตัวเองในหลายๆ มิติ แต่สำหรับผู้หญิงส่วนใหญ่การ “ทวงคืนขน” ก็ยังไม่ใช่ส่วนหนึ่งของแพคเกจการ “เสริมอำนาจ”

แต่ก็บอกเลยว่าถ้าวันดีคืนดีสาวๆ รุ่นใหม่เกิดเห็นพ้องต้องกันว่าพวกเธอจะไม่ยอมรับค่านิยม “รังเกียจขน” อีกต่อไป และจะปล่อยให้ขนนั้นขึ้นอย่างเสรี สิ่งที่เกิดตามมาก็น่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงระดับ Disruption ต่อ อุตสาหกรรมกำจัดจนทั้งหมดแน่ๆ

เพราะหากผู้หญิงทั่วโลกนั้นรวมตัวกันอย่างสามัคคีแล้ว พวกเธอก็คงไม่มีอะไรจะเสียไปนอกจากความเกลี้ยงเกลาบนร่างกายบางส่วน ซึ่งมันมีอายุเต็มที่เพียงร้อยกว่าปีเท่านั้นเอง

เขียนโดย อนาธิป จักรกลานุวัตร

You Might Also Like

วัดกำลังอสังหาฯ ยามพบศึกหนัก แผ่นดินไหว vs สงครามการค้า บ้านแนวราบโต แต่ตลาดคอนโดตึกสูงสั่นคลอน

ไม่ใช่แค่แรงงานไทยมักง่าย แต่นายจ้างเกาหลีก็อยากได้ผีน้อย

ไม่เอาแอปจีน! รัฐเท็กซัสประกาศแบนทั้ง DeepSeek, RedNote, Lemon8 

แนวโน้มอุตสาหกรรมยานยนต์ปี 2568 คาดยอดจัดส่งรถยนต์ EV โต 17%

Sign Up For Daily Newsletter

Be keep up! Get the latest breaking news delivered straight to your inbox.
By signing up, you agree to our Terms of Use and acknowledge the data practices in our Privacy Policy. You may unsubscribe at any time.
[email protected] December 30, 2023
Share this Article
Facebook Twitter Email Copy Link Print
Previous Article Festive Season เมื่อวันสำคัญทางศาสนากลายมาเป็นเทศกาลขายสินค้ายาวเป็นเดือนได้อย่างไร?
Next Article เพชร โอสถานุเคราะห์
CTD - Connect the Dots

Connect The dots ชุมชนสำหรับผู้ที่ชอบค้นหาโอกาสใหม่ พัฒนาตัวเองตลอดเวลา และเชื่อในโอกาสใหม่ๆ พื้นที่แลกเปลี่ยนความรู้ ไม่ว่าจะเป็นโลกธุรกิจ การลงทุน เทรนด์กระแส หรือ แม้กระทั่ง การเงินส่วนบุคคล ร่วมลากเส้น ต่อจุด เพื่อทุกความเป็นไปได้ไปกับเรา เพียงคุณเริ่มต้นที่จุดแรกไปกับเรา

Facebook Youtube Tiktok Spotify

แผนผังเว็บไซต์

Home
Business
People
News
Contact
Opinion
Investment
CIS
Sustainable
About Us

Copyright © 2024 Connect the Dots – All Rights Reserved

ข้อตกลงและเงื่อนไข

คำเตือนความเสี่ยงฉบับเต็ม

Removed from reading list

Undo
Welcome Back!

Sign in to your account

Lost your password?