.
ผมขอยก Case Study หุ้น Asian ที่ผมถืออยู่ให้ได้อ่านกันนะครับ ซึ่งขอบอกก่อนว่านี่เป็นเพียงกรณีศึกษา และเป็นข้อมูลในอดีตนะครับ ผมเข้าสะสมซื้อหุ้น Asian ตรงโซนแนวรับกลับตัวแล้วหุ้นเริ่มขึ้นมาพักที่ประมาณ 16.5 บาทต่อหุ้นในช่วงวันที่ 04/08/2022 โดยมี Position อยู่ทั้งหมด 6 แสนหุ้น การซื้อรอบนี้ของผมใช้ พื้นฐานและ Valuation ในการเลือกหุ้นโดยมองว่าหุ้นค่อนข้างมี Up side ที่น่าสนใจ และ มี Story ที่จะเล่นได้ก็คือการที่จะ Spin off บริษัทลูกอย่าง AAI ในช่วงของไตรมาส 4
.
หลังจากนั้นผ่านมาจนถึงวันที่ 24/08/2022 วอลุ่มเก็งกำไรเริ่มเพิ่มเข้ามารุนแรงเป็นครั้งแรกที่ประมาณ 10 ล้านหุ้น หลังจากนั้นราคาหุ้นก็เริ่มเพิ่มขึ้นมาโดยเพิ่มสูงขึ้นภายในวันถึง 9 ช่อง ในวันที่ 06/09/2022 ณ ราคาปิดที่ 18.70 บาท วอลุ่ม 12 ล้านหุ้น แล้ว วันที่ 07/09/2022 และ 08/09/2022 วอลุ่มค่อยๆลดลงมาอยู่ในช่วง 5-6 ล้าน Offer โซนราคาเหนือ 19 บาทค่อนข้างหนา โดย ณ ระดับราคานี้เป็นแนวต้านที่เคยทำไว้เมื่อ วันที่ 18/01/2022 ก่อนหุ้นจะเทลงมาอย่างรุนแรง ประกอบกับ RSI 14 D1 เริ่มเข้าสู่โซนที่ค่อนข้างสูงที่ 72.1995 จึงทำให้ผมทำการปรับพอร์ท เพื่อทำ Risk Managment
.
วิธีการ Risk Managment ที่ผมใช้ผมลอกมาจาก Mark Minervini นั่นก็คือการที่เมื่อเราถือ Position ที่มีกำไรจนมาถึงจุดหนึ่งที่หุ้นเหมือนว่าจะขึ้นต่อได้ยากแต่มีโอกาสที่ขึ้นต่อได้ เมื่อเกิดเหตุการแบบนี้ขึ้นจะทำการขายหุ้นออกไปครึ่งนึงของ Position ที่เราถือ ยกตัวอย่าง Case ของผม
.
หุ้น Asian มีกำไร 14% ถ้าผมขายออกครึ่งนึง แปลว่าผมรับรู้กำไรไปแล้ว 7% ของ Position เทรดนี้ ซึ่งจะเกิดความคิดขึ้นอยู่ 2 แบบคือ เมื่อหุ้นขึ้นผมยังมีของพอที่จะเพิ่มกำไรได้ และ เมื่อหุ้นลงผมก็ยังคงมีกำไรใน Position เทรดนี้อยู่ หรือ แม้กระทั่งผมจะสามารถทน Drawdown ได้มากขึ้นจากการถือ Position แค่ครึ่งเดียว ซึ่งถ้าเกิดหุ้นถอยกลับมาเท่าทุนแล้วผมคัดทิ้ง Position เทรดรวมผมจะมีกำไร 7% และ ผมสามารถทน Drawdown ของ Position ที่เหลือได้ถึงติดลบ 14% เพื่อที่จะทำให้ Position การเทรดรวมนี้เท่าทุน ซึ่งการทำแบบนี้จะทำให้เราเทรดง่ายยิ่งขึ้น เพราะโอกาสที่จะแพ้นั้นน้อยมากนั่นเอง
.
รอบนี้เป็นครั้งแรกที่ผมเริ่มจะเอาความรู้ของสายเทคนิคัลมาฝึกใช้อย่างจริงจังใน Position Size เท่าพอร์ทจริงของผม ปกติผมจะทดลองทำอะไรใหม่ๆในพอร์ทเล็กๆของผมเสมอ เพื่อฝึกและดูผลลัพธ์จนตอนนี้ผมคิดว่าผมเริ่มจะค่อนข้างมั่นใจได้ว่าตัวผมเองน่าจะมีความรู้ทางด้านเทคนิคัลมาใช้ในสนามจริงได้บ้างแล้วโดยการเอามาผสมกับความรู้ด้านปัจจัยพื้นฐานเดิมของผม