ทุกวันที่ 1 มิถุนายนคือ “วันดื่มนมโลก” (World Milk Day) โดยองค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (The Food and Agriculture Organization หรือ FAQ) เพื่อส่งเสริมให้คนดื่มนมวัวซึ่งอุดมไปด้วยสารอาหารที่สำคัญต่อร่างกาย ซึ่งนมวัวอยู่ในวิถีชีวิตของคนทั่วโลกมานานเป็นร้อยปี ด้วยความเชื่อว่าเป็นอาหารที่มีประโยชน์ ทำให้ร่างกายแข็งแรง แต่รู้ไหมว่าที่จริงแล้วมนุษย์ไม่ควรจะดื่มนมวัว และที่เราถูกสอนให้ดื่มกันมาตั้งนานหรือเรียนมาในวิชาสุขศึกษา ก็เป็นแค่การโฆษณาชวนเชื่อที่หวังผลด้านการตลาดเท่านั้น
สิ่งที่ผิดธรรมชาติซึ่งคนทั่วไปไม่เคยพิจารณาอย่างจริงจังเลยคือ นมเป็นของเหลวจากร่างกายสัตว์อีกสปีชีส์ ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเลี้ยงลูกของมันเท่านั้น แล้วมันจะไปเหมาะกับร่างกายมนุษย์ได้อย่างไร ถ้าอย่างนั้นอะไรคือสาเหตุที่ทำให้คนเราเริ่มดื่มนมวัวตั้งแต่แรก
เหตุผลที่มนุษย์เริ่มดื่มนมวัวไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเรื่องโภชนาการ แต่เรื่องสำคัญคือปากท้อง ย้อนกลับไปตั้งแต่ยุคปฏิวัติหินใหม่ หรือประมาณ 10,000 ปีก่อนคริสตกาล ช่วงที่มนุษย์เริ่มตั้งรกรากและมีการเลี้ยงสัตว์ ในแถบยุโรป แอฟริกา และตะวันออกกลางมีการเลี้ยงสัตว์ไว้เพื่อรีดนม เนื่องจากประกอบไปด้วยน้ำ ซึ่งจำเป็นต่อการใช้ชีวิตในพื้นที่แห้งแล้งอย่างแอฟริกาและตะวันออกกลาง ส่วนในยุโรปมีปัญหาเรื่องการเพาะปลูกยากเนื่องจากอากาศหนาว นมจึงเป็นแหล่งอาหารสำคัญในช่วงอดอยาก
แม้จะดื่มเพื่อประทังชีวิตแต่ก็ใช่ว่าจะดีต่อร่างกาย เพราะในนมวัวเต็มไปด้วยแบคทีเรียมากมายทำให้ป่วยได้ รวมทั้งแล็กโทส (Lactose) ซึ่งร่างกายมนุษย์จะค่อย ๆ หยุดผลิตเอนไซม์ที่ใช้ย่อยไปหลังหย่านมแม่ เช่นเดียวกับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมส่วนใหญ่ เพราะนมถูกสร้างมาเพื่อทารกเท่านั้น มีเพียงมนุษย์ที่ดื้อดื่มนมแม้ในวันที่โตเต็มวัย ทำให้เกิดการแพ้แล็กโทส แต่บรรพบุรุษของพวกเราก็เลือกที่จะป่วยดีกว่าตายไปนั่นแหละ
กว่าหมื่นปีต่อมามนุษย์ยังคงดื่มนมวัวต่อไปเพราะเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตที่ช่วยให้อยู่รอด ร่างกายก็มีการพัฒนาให้สามารถทนต่อแล็กโทสได้ในกลุ่มที่ดื่มนมวัวบ่อย โดยเฉพาะบริเวณยุโรปเหนือ ซึ่งมีอากาศหนาวเย็น ทำให้เก็บและบริโภคนมวัวได้นาน คนเกือบทั้งภูมิภาคจึงสามารถดื่มนมวัวได้โดยไม่มีอาการแพ้แล็กโทส แต่ไม่ใช่กับทวีปอื่น ๆ ในปัจจุบันมีคนทั่วโลกกว่า 68% ที่ไม่สามารถย่อยแล็กโทสได้ ส่วนใหญ่คือชาวแอฟริกาใต้และเอเชียที่ไม่ค่อยมีนมเป็นส่วนประกอบในวัฒนธรรมอาหาร บางประเทศก็แพ้แล็กโทสกัน 100% ส่วนประเทศไทยมากถึง 84%
หลังยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม ที่ทำให้มีการผลิตนมมากขึ้นและหลากหลายขึ้น นมจึงเข้าถึงง่ายและเป็นที่นิยมมาก โดยเฉพาะในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 นมกลายเป็นหนึ่งในเสบียงสำคัญที่ส่งให้กองกำลังฝั่งสัมพันธมิตร ธุรกิจฟาร์มวัวนมจึงพากันขยายขนาดและกำลังการผลิตอย่างมหาศาล
แต่เมื่อสงครามจบลง แน่นอนว่าอุปสงค์ของนมวัวเหลือล้นตลาด แม้จะถูกนำไปแปรรูปบ้างแล้วก็ยังไม่สามารถขายได้หมด ทางผู้ผลิตก็ไม่อยากลดกำลังการผลิตลงเพราะดันลงทุนไปแล้วมหาศาล ทางออกของปัญหานี้จึงกลายเป็นการทำให้คนต้องการดื่มนมมากกว่าที่เคย
สมาคมผู้ผลิตนมวัวทั่วสหรัฐอเมริกาและแคนาดา ทำโฆษณาชวนเชื่อเรื่องประโยชน์ของนมวัว ไม่ได้ขายยี่ห้อไหนเป็นหลัก แต่เน้นไปที่การสร้างการตระหนักรู้ให้ผู้บริโภคเห็นความสำคัญของนมวัว ซึ่งนอกจะดูน่าเชื่อถือกว่ามากแล้ว ยังได้ประโยชน์ทั่วกันทั้งอุตสาหกรรม ทั้งยังมีการวิ่งเต้นกับรัฐบาลเพื่อการสนับสนุนและประชาสัมพันธ์ประโยชน์ของนม จนมีการใส่นมลงไปในอาหารหลัก 5 หมู่ และโครงการนมโรงเรียนแบบที่ไทยเราก็ได้รับอิทธิพลมาด้วย ทำให้เรามีภาพจำกันว่านมเป็นอาหารที่มีประโยชน์และดีต่อร่างกายของมนุษย์จริง ๆ
ในปี 2023 ตลาดผลิตภัณฑ์จากนมทั่วโลกมีมูลค่าสูงกว่า 944.7 พันล้านดอลลาร์ ตลาดนมสำหรับดื่ม 184.9 พันล้านดอลลาร์ และจะสูงขึ้นเรื่อย ๆ ล้วนเป็นผลมาจากการโฆษณาชวนเชื่อในประวัติศาสตร์โลกที่ได้ผลดีที่สุดครั้งหนึ่ง
แต่จากที่เล่ามาไม่ได้หมายความว่านมวัวไม่มีประโยชน์อะไรเลย นมวัวมีสารมากมาย ทั้งโปรตีน แคลเซียม และวิตามินหลายชนิด ซึ่งก็ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีประโยชน์ต่อร่างกายมนุษย์ ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ได้ดีกว่าอาหารอื่น ๆ เสียทีเดียว และยังพ่วงมาด้วยข้อเสียบางอย่างด้วย
มีงานวิจัยของ แคทเธอรีน เอส. เบอร์คีย์ (Catherine S. Berkey) ที่พบว่านมวัวช่วยให้สูงขึ้นได้จริง แต่ในงานวิจัยของ ไดแอน เฟสคานิช (Diane Feskanich) พบว่าการดื่มนมวัวต่อเนื่องตั้งแต่เด็กไม่ได้ช่วยให้มีความเสี่ยงกระดูกแตกหักน้อยลงเมื่อสูงอายุ และยังมากกว่าคนที่ไม่ค่อยดื่มด้วยซ้ำ นอกจากนี้ยังมีอีกหลายงานวิจัยที่พบว่านมวัวส่งผลทางลบต่อร่างกายมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นสมดุลฮอร์โมนเพี้ยน ปัญหาสิว หรือแม้กระทั่งความเสี่ยงในการเกิดมะเร็ง
ดังนั้นประโยชน์ที่ได้มาจากนมวัวก็อาจไม่ได้ล้ำค่ากว่าที่ได้จากอาหารอื่น ๆ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นแคลเซียมและวิตามินเราก็สามารถได้รับจากการบริโภคผักใบเขียว หรือธัญพืช เต้าหู้ก็ยังเป็นแหล่งโปรตีนที่ดีกว่าด้วย และที่สำคัญคือราคาถูกกว่า
นอกจากนี้การผลิตนมวัวยังเป็นที่ถกเถียงด้านศีลธรรมและสิ่งแวดล้อมมากมาย เพราะการผลิตนมวัวในฟาร์มส่วนใหญ่คือการบังคับให้วัวตั้งท้องวนไปเรื่อย ๆ เพื่อให้สามารถรีดนมได้ และพรากลูกวัวจากแม่เพื่อไม่ให้แย่งนม และหากคุณดื่มนมวันละแก้ว ในหนึ่งปีจะสร้างก๊าซเรื่อนกระจกเท่ากับการขับรถ 941 กิโลเมตรเลย
อย่างไรก็ตามนี่ไม่ได้แปลว่าคุณควรเลิกดื่มนมวัวไปเลย เพียงแต่ในทุกครั้งที่คุณดื่ม มันไม่ควรเป็นเพราะความเชื่อผิด ๆ ถูก ๆ ที่โดนปลูกฝังจากคนอื่นเพื่อขายของที่พวกเขาขายไม่ออก แต่คุณควรตระหนักรู้ถึงคุณและโทษ รวมถึงที่มาของมันเพื่อตัดสินใจบริโภคด้วยตัวคุณเอง และอย่างน้อยก็ขอให้รู้เอาไว้ว่ามีทางเลือกในการบริโภคอีกมากเพื่อให้ได้สารอาหารที่คุณต้องการจากนมวัว แต่เป็นที่ถกเถียงน้อยกว่า และส่งผลดีกับร่างกายคุณมากกว่าที่ “นมสำหรับลูกวัว” ทำได้