เป็นที่ถกเถียงกันมากในขณะนี้ ว่าด้วยสภาพเศรษฐกิจที่ประเทศไทยต้องเจอ ในช่วง 1-2 ปีนี้ การทำงานโดยยึดหลัก “Work-Life Balance” อาจไม่ช่วยให้อยู่รอด แต่ต้องเป็นการ “Work Hard to Survive” แทน แต่ความจริงมันเป็นแบบนั้นหรือเปล่า ถ้าหากเราทำงานหนักแล้วจะช่วยให้รอดได้จริงไหม
แนวคิดของการ Work Hard หรือทำงานหนัก มีมานานตั้งแต่สมัยก่อนปฏิวัติอุตสาหกรรมแล้ว ซึ่งการทำงานหนักในตอนนั้นคือการทุ่มเทแรงกายและใช้เวลายาวนานไปกับงานเพื่อให้ได้ผลผลิตออกมามากขึ้น เชื่อว่ายิ่งทำงานมากก็ยิ่งได้ผลตอบแทนมาก และร่ำรวยมากขึ้น จนกลายเป็นแนวคิดที่สืบต่อมาเรื่อย ๆ จนถึงยุคปัจจุบันที่ก็ยังมีหลายคนเชื่อในแนวคิดนี้ว่า การทุ่มเทให้งานอย่างเต็มที่ จะทำให้เรามีโอกาสก้าวหน้าสูงและได้ผลตอบแทนอย่างที่คุ้มค่า
ในอีกทางสิ่งที่เรียกว่า Work-Life Balance ที่หลายคนต้องการ เป็นแนวคิดที่เกิดขึ้นมาเพื่อสร้างสมดุลให้กับชีวิต ซึ่งแต่ละคนก็นิยามความสมดุลนี้ไม่เหมือนกัน เพราะมันไม่ใช่แค่เรื่องของเวลาเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของอารมณ์ความรู้สึกด้วย กับบางคนแค่ได้หยุดเสาร์-อาทิตย์ก็ถือว่ามีบาลานซ์แล้ว กับบางคนนอกเวลางานคือติดต่อหรือคุยเรื่องงานไม่ได้เลย หรือบางคนที่ทำได้ ก็อาจทำงานและพักผ่อนแบบ 50:50 ไปเลย
แต่ทั้งสองแนวคิดนี้ก็ล้วนมีความเสี่ยงและช่องโหว่บางอย่างที่อาจเป็นพิษได้
การ Work Hard อาจดูเป็นแนวทางสู่ความสำเร็จที่ใครชอบพูดกัน แต่การประสบความสำเร็จหรือก้าวหน้าได้มันต้องอาศัยมากกว่านั้น นอกจากความพยายามของคุณแล้ว สิ่งที่ต้องมีคือ โอกาส และ เวลา ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนมีไม่เท่ากันเลย นั่นจึงไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่าการทำงานหนักของคุณจะคุ้มค่า นอกจากนี้ Work Hard ที่ว่า คุณกำลัง Work Hard เพื่อใคร
ส่วน Work-Life Balance อาจเป็นปัญหาเมื่อคุณไม่สามารถควบคุมสมดุลหรือพอใจกับมันได้ เพราะทุกอย่างเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และขึ้นอยู่กับความรู้สึกที่วัดอย่างเป็นรูปธรรมไม่ได้ สมดุลที่ว่าจึงไม่ตายตัวแม้แต่กับคุณเองก็ตาม และความพยายามสร้างสมดุลนั้นจึงมีโอกาสเปลี่ยนเป็นความเครียดสะสมแทนได้ ไม่ว่าจะการทำงานหรือพักผ่อนที่มากไปก็อาจทำให้สมดุลเสียได้ทั้งนั้น
อย่างไรก็ตาม หากย้อนกลับมาดูประเด็นที่สังคมถกเพียง การ Work Hard อาจไม่ได้ช่วยให้ Survive ได้เสมอไปในสภาพเศรษฐกิจที่ไม่ดีแบบนี้ ง่าย ๆ ลองย้อนดูช่วงโควิด-19แพร่ระบาด ถามว่าคนตกงาน ธุรกิจเจ๊ง เพราะเขาไม่ทำงานหนักเหรอ ก็ไม่ใช่ แต่เป็นเพราะระบบเศรษฐกิจมันไม่เดินต่างหาก
ในช่วงภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ค่อยดีมันมีหลายปัจจัยที่ประชาชนคนทำงานทั่วไปไม่สามารถจะรับมือได้แค่ด้วยการทำงานหนักขึ้น เพราะระบบเศรษฐกิจไม่ได้ทำงานแบบนั้น อย่างเงินเฟ้อมาก ก็ทำให้ของหลายอย่างแพงขึ้นอำนาจในการซื้อลดลงอยู่แล้ว มันจึงไม่ได้เกี่ยวเลยว่าคุณจะทำงานหนักหรือไม่ แต่ถ้าคุณทำงานหนักขึ้น คุณเหนื่อยขึ้นแน่นอน และหลาย ๆ คนก็ทำงานหนักอยู่แล้วจนไม่รู้จะหนักกว่านี้ได้อย่างไร ในแง่หนึ่ง Work-Life Balance จึงอาจเป็นสิ่งที่ตอบโจทย์เสียด้วยซ้ำ
แต่ที่สำคัญคือ ถึงคุณจะ Work Hard ขนาดไหน ผลตอบแทนอันคุ้มค่าที่ได้ ส่วนใหญ่ก็ดันไม่ได้กลับมาที่คุณนี่สิ แต่กลับไปสร้างเสริมความมั่งมีให้ผู้บริหารระดับสูงหรือเจ้าของธุรกิจที่บอกให้คุณ Work Hard มากกว่า แล้วพอเป็นแบบนั้นมันจะช่วยให้คุณ “รอด” ได้อย่างไร
แต่สุดท้ายใครจะยึดถือแนวคิดแบบไหนในการทำงานมันก็เป็นเรื่องที่ปัจเจกมาก ๆ แต่ละคนให้ความสำคัญกับเรื่องต่าง ๆ ในชีวิตไม่เท่ากัน บางคนก็มองงานเป็นส่วนสำคัญของชีวิต บางคนก็มองเป็นแค่กิจกรรมเลี้ยงปากท้องเทานั้น การพยายามบอกใครว่าให้ทำงานหนักขึ้นอีก หรือพยายามให้ใครมายึดถือแนวคิดแบบเดียวกัน ก็ควรทบทวนให้มั่นใจก่อนแล้วกันว่าเข้าใจพวกเขาดีพอ เพราะตอนนี้เขาอาจต้องทำงานหนัก จนหนักกว่านี้ไม่ได้แล้ว