CTD - Connect the Dots
  • Home
  • Business
  • People
  • Investment
  • Opinion
  • CIS
  • News
    • News
    • Sustainable
  • Contact
    • Contact
    • About Us
Reading: จากดาวรุ่งกลายเป็นดาวร่วง ขนส่งพัสดุ จากกำไรกลายเป็นขาดทุนสาหัส
Share
CTD - Connect the Dots
Aa
  • Home
  • Business
  • People
  • Investment
  • Opinion
  • CIS
  • News
  • Contact
Search
  • Home
  • Business
  • People
  • Investment
  • Opinion
  • CIS
  • News
    • News
    • Sustainable
  • Contact
    • Contact
    • About Us
Follow US
Copyright © 2020 Creative Investment Space – All Rights Reserved
CTD - Connect the Dots > Blog > Opinion > จากดาวรุ่งกลายเป็นดาวร่วง ขนส่งพัสดุ จากกำไรกลายเป็นขาดทุนสาหัส
Opinion

จากดาวรุ่งกลายเป็นดาวร่วง ขนส่งพัสดุ จากกำไรกลายเป็นขาดทุนสาหัส

korlajeshop@gmail.com
Last updated: 2024/03/12 at 4:28 PM
[email protected] Published August 28, 2023
Share

จบไตรมาส 2 ของปีนี้ถือว่ามีข่าวธุรกิจการเงินที่น่าสนใจให้ติดตามมาก และหนึ่งในนั้นคือกรณีของ เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (Kerry Express) ผู้ให้บริการขนส่งพัสดุที่กินส่วนแบ่งทางการตลาดอันดับต้น ๆ ในไทย ที่เปิดเผยรายได้ในไตรมาสที่สองของปี 2566 ว่ายัง “ขาดทุน” ต่อเนื่อง แม้กิจการขนส่งพัสดุยังเติบโตงมุ่งสู่มูลค่าตลาดกว่า แสนล้านบาท

ในไตรมาสสองของปีนี้ เคอรี่เผยแล้วว่าขาดทุนหนักถึง 1,047 ล้านบาท หลังจากที่ไตรมาสแรกก็ขาดทุนกว่า 787 รวมสองไตรมาสแรกเคอรี่เผาทิ้งไปแล้วไม่ต่ำกว่า 1,835 ล้านบาท นับว่าเป็นปีที่หนักและยังขาดทุนต่อเนื่องจากปีที่แล้วที่ผลประกอบการทั้งปี 2565 ออกมาขาดทุนรวม 2,830 ล้านบาท รายได้ร่วงลงมาพร้อมกับราคาหุ้นที่เคยเปิดตัวด้วยเลขสองหลักเมื่อปี 63 พีกสุดที่ 73 บาท ณ ตอนนี้เหลือหลักหน่วยแล้ว โดยเหล่าโบรกเกอร์ยังแนะนำให้ขายกันยาว ๆ แม้จะเคยได้รับเลือกเป็นหุ้น “ยั่งยืน” จากการส่งชุดพีพีอี (PPE) และอุปกรณ์การแพทย์ในช่วงโควิด

โดยเคอรี่แจ้งในรายงานผลประกอบการว่าไตรมาสสองที่ผ่านมาอยู่ในช่วงฤดูกาลซบเซา และอุปสงค์ที่อ่อนตัวของธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ หรือ อีคอมเมิร์ซ (E-commerce) ทำให้ปริมาณการส่งพัสดุในกลุ่ม B2B และ B2C ลดลง จำนวนขนส่งพัสดุโดยรวมลดลงร้อยละ 3 จากไตรมาสแรก แต่ในช่วงไตรมาสนี้ยังทำรายได้จากกลุ่ม C2C หรือการส่งพัสดุส่วนบุคคลที่เพิ่มขึ้นจาก 42% เป็น 45% ของรายได้รวมในช่วงปลายไตรมาส นอกจากนี้ยังได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันและค่าจัดจ้างรถขนส่งพัสดุจากภายนอกเพิ่มขึ้น ทำให้ต้นทุนบานปลาย

แต่ถึงอย่างไรทางเคอรี่เองยังใจแข็ง ร่วมกับ เอสเอฟ เอ็กซ์เพรส (SF Express) บริษัทแม่และ เคแอลเอ็น โลจิสติก เน็ทเวิร์ค (KLN) ผู้ถือหุ้นใหญ่ 52.06% ปรับปรุงเครือข่ายและมุ่งเน้นจะเป็นผู้นำด้านการขนส่งพัสดุให้ได้ และตั้งเป้าไว้ว่าอย่างไรก็จะกลับมาทำกำไรภายในปี 67 เรียกว่า ถ้าทุนยังหนาก็เผาต่อได้อยู่

ทั้งนี้ไม่ใช่แค่เคอรี่ที่เจ็บหนัก แต่ในภาพรวมของตลาดขนส่งพัสดุเขาเจ็บกันถ้วนหน้า ขาดทุนกันระนาวแม้ตลาดจะเติบโตสูง อย่างที่พอจะรู้กันดีอยู่แล้วครับว่าตั้งแต่โควิด-19 เข้ามาสั่นสะเทือนเศรษฐกิจในระดับโลก อีคอมเมิร์ซ ก็บูมมาก และเติบโตต่อเนื่องมาทุกปีตั้งแต่ปี 62 ทีมวิเคราะห์ของทางทีทีบี (TTB Analytics) เขาได้ประเมินเอาไว้ ว่าปี 61-62 กิจการขนส่งพัสดุมีมูลค่าที่ 4.6 หมื่นล้าน เติบโตเฉลี่ยปีละ 15% แต่พออีคอมเมิร์ซโต 90% ในช่วงโควิด ก็หนุนให้ขนส่งพัสดุเติบโตกว่า 7 หมื่นล้านต่อปีในช่วง 63-64 คิดเป็น 30% จากช่วงก่อนหน้านั้น และคาดการณ์ว่าในช่วงที่โควิดคลายแล้วในปี 65-66 จะเติบโต 18% ขยายมูลค่าตลาดสู่ 1.15 แสนล้านได้

ก่อนหน้านี้ในวงการผู้ให้บริการขนส่งพัสดุเขาก็แข่งกันอยู่ไม่กี่เจ้าครับ ในปี 61 ขนส่งดั้งเดิมอย่างเคอรี่และไปรษณีย์ไทยกินส่วนแบ่งการตลาดรวมกันถึง 80% และรวมกับเจ้าอื่นกว่า 90% แต่ต่อมาในปี 63 พอโควิดเข้า อีคอมเมิร์ซโต เจ้าดั้งเดิมมีส่วนแบ่งที่ลดลงเหลือเพียง 75% เท่านั้น ส่วนเจ้าที่ต่อยอดมาจากอีคอมเมิร์ซอย่าง ชอปปี เอ็กซ์เพรส (Shopee Express) และ ลาซาด้า เอ็กซ์เพรส (Lazada Express) กินส่วนแบ่งทางการตลาดมากขึ้นจาก 7% เป็น 25% เป็นการแทรกแซงที่กินสัดส่วนสูงมาก เพราะทางแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซเหล่านี้ก็จะกำหนดให้ลูกค้าและผู้ขายใช้บริการของเขาเป็นหลัก ทำให้ช่วงปี 62-64 ขนส่งกลุ่มนี้เติบโตถึง 4 เท่า จนถึงตอนนี้ธุรกิจขนส่งพัสดุกลายเป็นตลาดทะเลแดงไปแล้ว

เปรียบเทียบให้เห็นชัดเจนเลยคือ ขนส่งเจ้าใหญ่ที่อยู่คู่คนไทยมาช้านานอย่างไปรษณีย์ไทยที่คาดว่าจะขาดทุนลดลงจากปี 2564 ที่ทำรายได้เฉพาะกิจการไป 21,226 ล้านบาท ขาดทุนไปกว่า 1,730 ล้านบาท ตั้งเป้ารายได้ปี 65 ไว้ 20,000 ล้าน หวังขาดทุนน้อยลงจากการปรับลดต้นทุนค่าน้ำมันและการใช้กระดาษ แต่สุดท้ายไม่รอดกลายเป็นว่าปี 65 ทำรายได้ไปแค่ 19,546 ล้านบาท ขาดทุนย่อยยับ 3,018 ล้านบาท แบบกระอักเลือด ในขณะที่น้องใหม่ไฟแรงอย่างลาซาด้า เอ็กซ์เพรส ทำรายได้ 16,060 ล้านบาท สร้างกำไรกว่า 2,700 ล้านบาท ทำกำไรได้ดีกว่าธุรกิจหลักอย่างแพลตฟอร์มชอปปิงของตัวเองที่ทำกำไรไปแค่ 413 ล้านเสียอีกเรียกได้ว่าปาดหน้ารุ่นใหญ่ไปเต็ม ๆ ทั้งนี้ก็ด้วยอานิสงส์จากการชอปปิงออนไลน์ที่ขยายตัวขึ้น การที่กำหนดให้ใช้ขนส่งของตัวเองร่วมด้วยก็ทำให้ทั้งสองบริษัทเติบโตไปพร้อมกันได้

แต่อย่าเพิ่งโทษว่าแพลตฟอร์มชอปปิงออนไลน์เป็นผู้ร้ายเพียงหนึ่งเดียว เพราะจริง ๆ แล้วเขาก็ยิงกันเองในวงการนี่แหละ ถ้าหากยังจำกันได้ ตั้งแต่ปีที่แล้วมันเกิดสงครามธุรกิจแข่งกันตัดราคาในแวดวงขนส่งพัสดุ ตั้งแต่เจ้าใหม่ ๆ อย่างแฟลช (Flash) และเจ แอนด์ ที (J&T) เข้ามาก็ได้เล็งเห็นปัญหาเรื่องค่าส่งของเจ้าใหญ่ที่ยังสูงอยู่ เลยทำราคาให้ถูกกว่า เพื่อชิงส่วนแบ่งลูกค้ามาจากเจ้าใหญ่ และเมื่อโควิดเริ่มคลาย การเติบโตของอีคอมเมิร์ซก็เริ่มชะลอตัวลง กระทบขนส่งเหล่านี้ไม่น้อย จึงเริ่มออกอาวุธหนักแข่งกันหั่นราคาลงมาอีก เคอรี่เปิดราคาค่าส่งเริ่มต้นเพียง 15 บาทเท่านั้น จากที่เคยเริ่มราว ๆ 30 บาท แฟลชก็รับมือด้วยส่วนลดค่าส่ง 10% สำหรับกล่องพัสดุขนาดไม่เกิน 40 เซนติเมตร แม้ว่าเลือกจะทำกำไรต่อชิ้นน้อยลงเพื่อหวังให้ได้จำนวนพัสดุมากขึ้น แต่ปัจจัยอย่างค่าน้ำมันก็ทำให้ต้นทุนต่อชิ้นที่เคยถูกมองว่าเป็นต้นทุนคงที่ (fixed cost) เปลี่ยนไป บวกกับการที่แพลตฟอร์มชอปปิงออนไลน์ผู้ขาดการส่งกับขนส่งของตัวเอง สุดท้ายก็เข้าเนื้อ แฟลชเองก็ขาดทุนไปต่อเนื่องทั้งในปี 64 และ 65

อีกสองเจ้าดังอย่างไปรษณีย์ไทยกับเจ แอนด์ ที ดูจะเมินสงครามราคาในครั้งนี้ เพราะไปรษณีย์ไทยเองรายได้รวมก็ลดลงมาหลายปีต่อเนื่อง และมองว่าเน้นที่คุณภาพดีกว่าจะแข่งกันด้วยราคา ในช่วงที่สองเจ้าเขาหั่นราคากันอยู่ พี่ใหญ่เราถือโอกาสขึ้นราคาในรอบ 18 ปีเลย พยายามแก้เกมด้วยการเพิ่มคุณภาพและบริหารต้นทุนด้วยการวางแผนเปลี่ยนไปใช้รถพลังงานไฟฟ้าในการขนส่งแทน นอกจากนี้ยังพลักดันบริษัทลูกอย่าง ไปรษณีย์ไทยดิสทริบิวชั่น จำกัด ที่ให้บริการด้านคลังสินค้าและจัดการระบบขนส่ง ให้เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ภายในปีนี้ หลังทำกำไรดีต่อเนื่อง 4 ปี ต่างจากบริษัทแม่ลิบลับ โดยช่วงครึ่งปีแรกไปรษณีย์ไทยทำยอดการส่งพัสดุด่วน อีเอ็มเอส (EMS) เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 26% ต้องรอดูกันว่าปีนี้พี่ใหญ่จะขาดทุนน้อยลงหรือพลิกสร้างกำไรได้ไหม

ส่วนเจ แอนด์ ทีเองมองว่าให้ความสำคัญกับคุณภาพดีกว่า เรื่องต้นทุนก็เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องมาบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพแทน โดยไม่ได้ปรับค่าส่งขึ้นหรือลง แต่ยังอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน และราคาไม่ใช่ปัจจัยที่ลูกค้าจะตัดสินใจ และก็ดูเหมือนจะเลือกได้ดี เพราะไตรมาสล่าสุด เจ แอนด์ ที กำไรแล้วกว่า 8 ล้านบาท ชดเชยส่วนที่ขาดทุนไปไตรมาสแรกไปก็ทำให้ครึ่งปีที่ผ่านมากำไร 6.7 ล้านบาท แม้ว่าจะเป็นตัวเลขไม่มาก และยังกินส่วนแบ่งทางการตลาดไม่เยอะ แต่ก็ถือว่าไม่เจ็บตัวแหละวะ และในปีนี้ เจ แอนด์ ที มียอดพัสดุเพิ่มขึ้นจากปีก่อนมากถึง 50% เลย

มาถึงตอนนี้ทางแฟลชเองบอกว่าสงครามราคามันได้จบลงแล้ว (ก็อาจต้องจบแหละพากันเจ๊งขนาดนี้) ถึงเวลาปรับตัวเพื่อเติบโตไปในทิศทางใหม่ ซึ่งแฟลชผู้ที่ตอนนี้เป็นเบอร์หนึ่ง ยอดส่งพัสดุมากที่สุดในไทย กว่า 2.4 ล้านชิ้นต่อวัน ก็ได้ระดมทุนกว่า 15,000 ล้านบาท เตรียมเข้าตลาดหลักทรัพย์ใน 3 ปี ลงทุนเพิ่มในคลังสินค้าและขยายธุรกิจไปอีกหนึ่งประเทศในอาเซียน ไม่เวียดนามก็สิงคโปร์ นอกจากนี้ยังปั้นธุรกิจ เอฟ คอมเมิร์ซ (F-commerce) เป็นตัวกลางในการขายสินค้าระหว่างแบรนด์ อินฟลูเอนเซอร์ และแพลตฟอร์ม ให้บริการไลฟ์ คอมเมิร์ซ (Live commerce) แบบครบวงจรตั้งแต่พื้นที่ไลฟ์ โปรโมต และส่งสินค้า โดยคาดหวังรายได้ 5,000 ล้านบาท

พอการห้ำหั่นจบลงก็ดูเหมือนว่าแต่ละแบรนด์จะเลือกแนวทางที่มุ่งเน้นการพัฒนามากกว่ากลยุทธ์เรื่องราคาแบบฉาบฉวย ซึ่งก็นับว่าเป็นเรื่องดีที่ถ้าหากขนส่งต่าง ๆ หันมาใส่ใจเรื่องคุณภาพมากขึ้นเป็นสำคัญ ในฐานะผู้บริโภคเราก็น่าจะได้รับบริการที่ดีขึ้นสะดวกขึ้นไปด้วย และน่าสนใจว่าการปรับตัวของขนส่งรายใหญ่เหล่านี้จะส่งผลให้พลิกกลับมาทำกำไรได้ในเร็ว ๆ นี้หรือไม่ หรือพวกเขาจะยังต้องเผาเงินเล่นกันต่อไปในธุรกิจนี้

You Might Also Like

วัดกำลังอสังหาฯ ยามพบศึกหนัก แผ่นดินไหว vs สงครามการค้า บ้านแนวราบโต แต่ตลาดคอนโดตึกสูงสั่นคลอน

ไม่ใช่แค่แรงงานไทยมักง่าย แต่นายจ้างเกาหลีก็อยากได้ผีน้อย

ไม่เอาแอปจีน! รัฐเท็กซัสประกาศแบนทั้ง DeepSeek, RedNote, Lemon8 

แนวโน้มอุตสาหกรรมยานยนต์ปี 2568 คาดยอดจัดส่งรถยนต์ EV โต 17%

Sign Up For Daily Newsletter

Be keep up! Get the latest breaking news delivered straight to your inbox.
By signing up, you agree to our Terms of Use and acknowledge the data practices in our Privacy Policy. You may unsubscribe at any time.
[email protected] August 28, 2023
Share this Article
Facebook Twitter Email Copy Link Print
Previous Article “นาฬิกาหรู” ฟองสบู่แตกหรือแค่คืนสมดุล? ราคาตกต่อเนื่องนับปีหลังพุ่งสูงสุดเป็นประวัติกาล
Next Article ค่าแรง 600 บาท ถ้าต้องรอไป 4 ปี ไปสำรวจที่อื่น ไปไกลกว่าแล้ว?
CTD - Connect the Dots

Connect The dots ชุมชนสำหรับผู้ที่ชอบค้นหาโอกาสใหม่ พัฒนาตัวเองตลอดเวลา และเชื่อในโอกาสใหม่ๆ พื้นที่แลกเปลี่ยนความรู้ ไม่ว่าจะเป็นโลกธุรกิจ การลงทุน เทรนด์กระแส หรือ แม้กระทั่ง การเงินส่วนบุคคล ร่วมลากเส้น ต่อจุด เพื่อทุกความเป็นไปได้ไปกับเรา เพียงคุณเริ่มต้นที่จุดแรกไปกับเรา

Facebook Youtube Tiktok Spotify

แผนผังเว็บไซต์

Home
Business
People
News
Contact
Opinion
Investment
CIS
Sustainable
About Us

Copyright © 2024 Connect the Dots – All Rights Reserved

ข้อตกลงและเงื่อนไข

คำเตือนความเสี่ยงฉบับเต็ม

Removed from reading list

Undo
Welcome Back!

Sign in to your account

Lost your password?