CTD - Connect the Dots
  • Home
  • Business
  • People
  • Investment
  • Opinion
  • CIS
  • News
    • News
    • Sustainable
  • Contact
    • Contact
    • About Us
Reading: Festive Season เมื่อวันสำคัญทางศาสนากลายมาเป็นเทศกาลขายสินค้ายาวเป็นเดือนได้อย่างไร?
Share
CTD - Connect the Dots
Aa
  • Home
  • Business
  • People
  • Investment
  • Opinion
  • CIS
  • News
  • Contact
Search
  • Home
  • Business
  • People
  • Investment
  • Opinion
  • CIS
  • News
    • News
    • Sustainable
  • Contact
    • Contact
    • About Us
Follow US
Copyright © 2020 Creative Investment Space – All Rights Reserved
CTD - Connect the Dots > Blog > Opinion > Festive Season เมื่อวันสำคัญทางศาสนากลายมาเป็นเทศกาลขายสินค้ายาวเป็นเดือนได้อย่างไร?
Opinion

Festive Season เมื่อวันสำคัญทางศาสนากลายมาเป็นเทศกาลขายสินค้ายาวเป็นเดือนได้อย่างไร?

korlajeshop@gmail.com
Last updated: 2024/03/12 at 1:12 PM
[email protected] Published December 25, 2023
Share

6 Degrees of Separation

ในช่วงปลายปีของทุกปี ชาวไทยอาจรู้สึกลุ้นว่าปีนี้อากาศหนาวมั้ย แต่สำหรับคนในโลกตะวันตก ช่วงนี้คือ Festive Season ซึงจริงๆ มันก็เป็นช่วงที่ภาคธุรกิจคึกคักมาก เพราะนี่คือช่วงที่สินค้าขายดีที่สุดของปี

บางคนจะมองว่า Festive Season มันก็คือช่วงคริสต์มาสต์ยาวไปจนวันปีใหม่ ซึ่งรวมๆ กันเพราะมันวันใกล้ๆ กัน จริงๆ ในแต่ละประเทศ ช่วงแห่งการเฉลิมฉลองนี้กินเวลาต่างกัน โดยชาติที่ฉลองนานที่สุดน่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา ซึ่งก็คือฉลองกันยาวตั้งแต่ปลายพฤศจิกายน ไปจนถึงต้นมกราคมของอีกปี

แล้วมันเป็นแบบนี้ได้ไง? ทำไมฉลองกันยาวเฟื้อย คำตอบสั้นๆ คือมันเป็นการรวมวันหยุดและวันเทศกาลของต่างวัฒนธรรมมาผูกกันเข้าไว้ ซึ่งภาคธุรกิจแฮปปี้ เพราะมันเป็นเทศการกระตุ้นการบริโภคชั้นดี

แต่ที่มามันยาวนานและซับซ้อนน่าดุ

ต้องเข้าใจก่อนว่าย้อนไปกลางศตวรรษที่ 19 ในโลกนี้น่าจะไม่มีที่ไหนฉลองคริสต์มาสต์แบบทุกวันนี้ มันก็เป็นวันสำคัญทางศาสนาธรรมดาๆ ของศาสนาคริสต์ ซึ่งในยุคที่ศาสนาไม่ใช่ศูนย์กลางของชีวิตผู้คนแล้ว มันก็เป็นแค่ “วันเกิดพระเยซู” อาจไม่ได้ต่างจาก “วันวิสาขบูชา” ของไทยอะไรแบบนี้ด้วยซ้ำ อาจมีการกินเลี้ยงกันบ้างในครอบครัว แต่ก็ไม่ใช่อย่างทุกวันนี้แน่ๆ ซึ่ง “ต้นคริสมาสต์” ที่เป็นศูนย์กลางเทศกาลนี่แทบไม่มีแน่

การเริ่มให้ความสำคัญกับคริสต์มาสต์ในฐานะวันสำคัญเริ่มใน “ยุควิคตอเรี่ยน” ซึ่งก็ว่ากันว่าหลังจากพระราชินีวิคตอเรียแต่งงานกับเจ้าชายอัลเบิร์ตและรับเอาธรรมเนียมการ “แต่งต้นคริสต์มาส” มา (ว่ากันว่ามาจากเยอรมนี) ซึ่งพอพระราชินีเริ่มทำการทำแบบนี้ ตอนช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ไม่นานครัวเรือนชนชั้นกลางก็มีการแต่งต้นคริสมาสต์ ซึ่งพอภาคธุรกิจมองเห็นว่าคนฉลอง ก็เริ่มมีผลิตภัณฑ์พิเศษเฉพาะเทศกาลมาตั้งแต่การ์ดคริสต์มาสต์ ไปจนถึงขนม และพอมันมีบรรยาการการฉลอง ครัวเรือนที่มีอันจะกินหน่อยก็เริ่มมีการเลี้ยงกันในครอบครัว

ซึ่งก็อยากให้นึกตามว่าช่วงนั้นอังกฤษคือจักรวรรดิ์ที่ใหญ่ที่สุด ไอเดียของคริสตมาสต์แบบนี้มันก็ค่อยๆ แพร่กระจายไปในดินแดนที่เป็นอาณานิคมอังกฤษด้วย ซึ่งนี่คือการลงรากว่าทำไมเทศกาลนี้ถึงแพร่หลายไปทั่วโลก แม้แต่ประเทศที่คนส่วนใหญ่ไม่ได้นับถือศาสนาคริสต์

ทั้งหมดมันเป็นไปอย่างธรรมชาติ ซึ่งตรงนี้ก็ต้องเข้าใจด้วยว่าในเมืองหนาว ช่วงปลายเดือนธันวาคมมันจะเป็นช่วงของ “วันเหมายัน” ซึ่งคือวันที่กลางคืนยาวนานที่สุดในรอบปีในซีกโลกเหนือ และมันเป็นวันที่ถือว่าเป็น “วันเข้าหน้าหนาว” มาแต่โบราณ ซึ่งมันก็เป็นธรรมชาติพอสมควรที่มนุษย์จะต้องการ “ความอบอุ่น” ในช่วงนี้

อย่างไรก็ดี อยากให้นึกภาพว่า ณ ตอนต้นศตวรรษที่ 20 คนก็ยังไม่ช็อปปิ้งกันยับๆ แบบทุกวันนี้ เทศกาลฉลองคริสมาสต์ก็ยังเป็นแค่ช่วงเวลาเริ่มตั้งแต่ 25 ธันวาคม ยาวไป 12 วัน ไปจบในช่วงช่วงต้นมกราคมของอีกปี ซึ่งทางคนคริสต์เชื่อว่าเป็นวันที่ 3 นักปราชญ์ได้ทำพิธีศีลจุ่มให้พระเยซู ซึ่งการฉลองทั่วๆ ไปมันก็เป็นไปอย่างเงียบๆ ภายในครอบครัว

ซึ่งจริงๆ การ “ช็อปปิ้ง” ในช่วงคริสต์มาสต์แม้ว่าตอนแรกมันจะไม่เป็นแบบทุกวันนี้ แต่มันก็ก็ขายตัวไปตามประมาณชนชั้นกลางในสังคมและกำลังซื้อของพวกเค้าซึ่งนี่มันชัดมากในอเมริกา

ซึ่งในอเมริกา มันมีสิ่งที่อังกฤษไม่มีอย่าง “เทศกาลขอบคุณพระเจ้า” ที่จะเริ่มจัดในวันพฤหัสสุดท้ายของเดือนพฤษจิกายน ซึ่งก็เป็นเทศกาลครอบครัวเหมือนกัน แต่เกิดก่อนคริสต์มาสต์เกือบ 1 เดือน โดยจริงๆ แล้วเทศกาลนี้คนอเมริกันนั้นรับจากพวกคนอเมริกันพื้นเมืองอีกที โดยมันเป็นเทศกาลเพื่อซาบซึ้งและขอบคุณผลผลิตการเกษตรที่เก็บเกี่ยวได้ในตลอดช่วงปีที่ผ่านมา ซึ่งพอคนคริสต์รับไป มันก็เลยเป็นการขอบคุณพระเจ้าที่ประทานผลผลิตมาให้

ในช่วงเทศกาลของคุณพระเจ้า มันก็จะมีการเดินพาเหรด ซึ่งดั้งเดิม พวกร้านค้าต่างๆ จะถือว่าจะยังเริ่ม “ขายของคริสต์มาสต์” ไม่ได้หลังพาเหรดจบ เพราะเค้าถือเป็นเทศกาลที่สำคัญระดับเดียวกัน ซึ่งทุกคนรู้ตั้งแต่ตอนนั้นแล้วว่าช่วงคริสมาสต์ของจะขายดีเป็นพิเศษ ชนชั้นกลางเพิ่มขึ้นทุกปี และสินค้าก็ขายดีขึ้นทุกปี คนทำมาค้าขายก็เลยตั้งหน้าตั้งตาเป็นพิเศษ

ซึ่งสุดท้าย ด้วยธรรมเนียมว่าพาเหรดจะจบใน 1 อาทิตย์ เค้าก็เลยจะถือว่าวันศุกร์ถัดจากสัปดาห์ที่มี “วันขอบคุณพระเจ้า” จะเป็นวันที่เริ่มทำการโปรโมตขายของเตรียมคริสต์มาสต์ โดยวันศุกร์เปิดช่วงคริสต์มาสต์นี้ เป็นที่รู้จักกันในนาม Black Friday ซึ่งในอเมริกา มันคือวันที่ร้านค้ามักจะทำยอดขายมากที่สุดของปี ซึ่งพอมายุคดิจิทัลมันก็เลยมีการเพิ่ม Cyber Monday เพื่อสนับสนุนให้คนซื้อของออนไลน์เป็นวันจันทร์ถัดจาก Black Friday โดยมันเริ่มจากเว็บ Shop.org ในปี 2005

และทั้งนี้เทศกาลพวกนี้ก็คึกคักมาก ภาคธุรกิจหลายๆ อย่างอยากเอาโน่นนี่มาแจมกัน โดยสิ่งหนึ่งที่เป็น “ตำนาน” เลยก็คือการใส่ “ซานตาคลอส” หน้าตาแบบที่เราเห็นทุกวันนี้ที่เป็นชายแก่ท้วมเคราขาวดูใจดีใส่ชุดสีแดง ซึ่งทั้งหมด คือผลผลิตของการตลาดของ Coca Cola ในทศวรรษ 1930 โดย Coca Cola ก็ภูมิใจเรื่องนี้ระดับเขียนไว้บนเว็บไซต์ตัวเองเลยว่า ก่อนที่ Coca Cola จะ “สร้าง” ซานตาคลอสหน้าตาแบบนี้ ซานตาคลอสเคยเป็นชายแก่ผอมสูงท่าทางน่ากลัว” ด้วยซ้ำ

ก็เรียกกันได้ว่า ณ กลางๆ ศตวรรษที่ 20 ตอนที่สหรัฐอเมริกาขึ้นเป็นมหาอำนาจช่วงสงครามเย็น องค์ประกอบของ Festive Season มากันครบแล้ว การช็อปปิ้งกระหน่ำ ต้นคริสมาสต์ ซานตาคลอสใจดี แต่สิ่งที่ยังมาไม่ครบก็คือ “ตัวเชื่อม” ระหว่าง “วันขอบคุณพระเจ้า” กับ “เทศกาลคริสต์มาสต์” ซึ่งก็อย่างที่ว่า มันห่างกันเกือบเดือน

สิ่งที่เอามาเชื่อมก็คือ เทศกาลฮานุก้า (Hanukkah) ของคนยิว ที่คนยิวฉลองการฟื้นฟูกรุงเยรูซาเล็ม ซึ่งแต่ละปีวันจะไม่เหมือนกัน แต่มันจะอยู่ช่วงๆ กลางเดือนธันวาคมของทุกปี หรือพูดง่ายๆ คือมันจะเป็นเทศกาลยาวที่คั่นระหว่างเทศกาลขอบคุณพระเจ้า

และนี่ก็เลยทำให้องค์ประกอบของ Festive Season ครบ และทำให้ฉลองกันได้ยาวๆ นับแต่ปลายพฤจิกายน จนถึงต้นมกราคมกันเลย และก็แน่นอน ที่อเมริกาก็จริงจังกับเทศกาลนี้มาก จนมันทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “หนังคริสมาสต์” หรือ “อัลบั้มคริสมาสต์” ที่เอาไว้เปิดในเทศกาลนี้กันเลย ซึ่งประเทศที่ไม่ได้ฉลองกันระดับอเมริกาก็คงจะเข้าใจได้ยากว่าทำไมมันถึงสำคัญขนาดนี้

ทั้งนี้ ที่เล่ามาก็จะเห็นว่าที่ Festive Season เป็นอย่างทุกวันนี้ มันเกิดจากการค่อยๆ เปลี่ยนแปลง “วันสำคัญทางศาสนา” ไปทีละเล็กละน้อย และในที่สุด คนมันก็ไม่ได้เชีื่อมโยงเทศกาลนี้กับศาสนาอีกแล้ว และในยุคที่คนห่างจากครอบครัวมากขึ้น มันก็แทบจะเป็นเทศกาลขายของไปอย่างสมบูรณ์

เขียนโดย อนาธิป จักรกลานุวัตร

ที่มา
https://www.bbc.co.uk/victorianchristmas/history.shtml
https://en.wikipedia.org/wiki/Christmas_and_holiday_season
https://en.wikipedia.org/wiki/Hanukkah

You Might Also Like

วัดกำลังอสังหาฯ ยามพบศึกหนัก แผ่นดินไหว vs สงครามการค้า บ้านแนวราบโต แต่ตลาดคอนโดตึกสูงสั่นคลอน

ไม่ใช่แค่แรงงานไทยมักง่าย แต่นายจ้างเกาหลีก็อยากได้ผีน้อย

ไม่เอาแอปจีน! รัฐเท็กซัสประกาศแบนทั้ง DeepSeek, RedNote, Lemon8 

แนวโน้มอุตสาหกรรมยานยนต์ปี 2568 คาดยอดจัดส่งรถยนต์ EV โต 17%

Sign Up For Daily Newsletter

Be keep up! Get the latest breaking news delivered straight to your inbox.
By signing up, you agree to our Terms of Use and acknowledge the data practices in our Privacy Policy. You may unsubscribe at any time.
[email protected] December 25, 2023
Share this Article
Facebook Twitter Email Copy Link Print
Previous Article Real World Asset ธีมการลงทุนใหม่ของโลกคริปโต 2024 ธีมใหม่ของการเงินดิจิทัล ที่นำสินทรัพย์ในโลกการเงินดั้งเดิมเข้าสู่บล็อกเชน
Next Article การตลาดและสงคราม ทำให้ผู้หญิงเริ่มโกนขนรักแร้และหน้าแข้งได้อย่างไร?
CTD - Connect the Dots

Connect The dots ชุมชนสำหรับผู้ที่ชอบค้นหาโอกาสใหม่ พัฒนาตัวเองตลอดเวลา และเชื่อในโอกาสใหม่ๆ พื้นที่แลกเปลี่ยนความรู้ ไม่ว่าจะเป็นโลกธุรกิจ การลงทุน เทรนด์กระแส หรือ แม้กระทั่ง การเงินส่วนบุคคล ร่วมลากเส้น ต่อจุด เพื่อทุกความเป็นไปได้ไปกับเรา เพียงคุณเริ่มต้นที่จุดแรกไปกับเรา

Facebook Youtube Tiktok Spotify

แผนผังเว็บไซต์

Home
Business
People
News
Contact
Opinion
Investment
CIS
Sustainable
About Us

Copyright © 2024 Connect the Dots – All Rights Reserved

ข้อตกลงและเงื่อนไข

คำเตือนความเสี่ยงฉบับเต็ม

Removed from reading list

Undo
Welcome Back!

Sign in to your account

Lost your password?