CTD - Connect the Dots
  • Home
  • Business
  • People
  • Investment
  • Opinion
  • CIS
  • News
    • News
    • Sustainable
  • Contact
    • Contact
    • About Us
Reading: ย้อนมองการเปลี่ยนผ่านจาก “รถม้า” สู่ “แรงม้า”ถอดบทเรียนให้รู้ว่า “อย่าเพิ่งปากดี เพราะ EV มาแน่”
Share
CTD - Connect the Dots
Aa
  • Home
  • Business
  • People
  • Investment
  • Opinion
  • CIS
  • News
  • Contact
Search
  • Home
  • Business
  • People
  • Investment
  • Opinion
  • CIS
  • News
    • News
    • Sustainable
  • Contact
    • Contact
    • About Us
Follow US
Copyright © 2020 Creative Investment Space – All Rights Reserved
CTD - Connect the Dots > Blog > Opinion > ย้อนมองการเปลี่ยนผ่านจาก “รถม้า” สู่ “แรงม้า”ถอดบทเรียนให้รู้ว่า “อย่าเพิ่งปากดี เพราะ EV มาแน่”
Opinion

ย้อนมองการเปลี่ยนผ่านจาก “รถม้า” สู่ “แรงม้า”ถอดบทเรียนให้รู้ว่า “อย่าเพิ่งปากดี เพราะ EV มาแน่”

korlajeshop@gmail.com
Last updated: 2024/03/12 at 10:16 AM
[email protected] Published January 8, 2024
Share

ช่วง2-3ปีมานี้ตลาดรถ EV เติบโตเร็วหลายเท่าตัว การเปลี่ยนผ่านสู่ยุคของ EV ในหลายประเทศเริ่มคึกคักขึ้นอย่างเห็นได้ชัด รวมถึงไทยเองด้วย และสำหรับบางประเทศอย่างนอร์เวย์ ก็นำโด่ง เพราะรถ EV กินส่วนแบ่งตลาดรถยนต์มากถึง 82.4% มากกว่ารถสันดาปแบบดั้งเดิมแล้ว

แต่สำหรับประเทศที่ยังอยู่ในช่วงการเปลี่ยนผ่านอย่างไทย มักเกิดเป็นข้อโต้แย้งในสังคมที่ยังคงปะปนด้วยทั้งรถยนต์สันดาปและรถยนต์ไฟฟ้า ว่า “การเปลี่ยนผ่านสู่ EV มาเร็วไปหรือไม่” หรือแม้แต่ “EV จะกลายเป็น New Normal หรือสุดท้ายจะกลายเป็นแค่ Trend”

ในบทความนี้ Connect the Dots จะพาไปย้อนดูกรณีศึกษาแบบเดียวกันที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนแล้ว ระหว่าง “รถม้า” และ “รถน้ำมัน” ให้คุณได้ลองเทียบดูกับการเปลี่ยนผ่านสู่ “EV” ในปัจจุบัน

ในช่วงศตวรรษที่ 19 มนุษย์เรายังสัญจรด้วยการเดิน เท้ารถไฟ ม้า และ “รถม้า” ซึ่งบ้านไหนมีใช้ก็คือมีกินในระดับหนึ่งแล้ว ถือเป็นยานพาหนะที่แพร่หลายในหมู่คนรวย ขับเคลื่อนด้วยการให้อาหาร ให้น้ำ และมีคอกให้อยู่

ซึ่งในตอนนั้นก็คิดกันว่าสะดวกมาก ๆ แล้ว แต่ไอ้ที่ว่าสะดวกนี่จริง ๆ ก็ยังไม่ได้สะดวกนัก เพราะถนนตอนนั้นยังเป็นลูกรังและดินเปียก ๆ อยู่เลย ทำให้รถม้าสมัยนั้น (รวมถึงรถยนต์รุ่นแรก ๆ ) ต้องมีล้อใหญ่ เพื่อยกที่นั่งโดยสารให้สูงจากพื้น

และการใช้ม้าก็เป็นภาระไม่น้อย เพราะต้องจ้างคนดูแล ฝึกให้พร้อมใช้งาน และต้องใช้เงินราว ๆ 200$ ต่อปีเป็นค่าอาหาร ทั้งยังสร้างของเสียไม่น้อยกว่าปศุสัตว์อื่น ๆ เลย อึถึงวันละ 45 ปอนด์ พร้อมทั้งฉี่อีกหนึ่งแกลลอน อีกทั้งถนนในบ้านเมืองก็ไม่ได้สะอาดตา เพราะม้าจะเดินไปอึไปทั่ว และเด็ก ๆ ในสมัยนั้นก็มักจะมีงานโหด ๆ อย่างการทำความสะอาดถนน หรือที่เรียกว่า “Dirt Boys”

ใช้ต้นทุนในการเลี้ยงสูง ถนนสกปรก ส่งกลิ่นเหม็น และอาจเกิดโรคได้ ปัญหามากมายจากการใช้ม้าทำให้เมืองต่าง ๆ เริ่มมองหาวิธีแก้ไข

ในช่วงเดียวกัน ตลอดศตวรรษที่ 19 นักประดิษฐ์และวิศวกรหลายคนพยายามคิดค้นรถยนต์ต้นแบบขึ้นมานับครั้งไม่ถ้วน ทั้งจากพลังงานไอน้ำยอดนิยมตอนนั้น เครื่องยนต์ใช้น้ำมัน และแม้แต่รถยนต์ไฟฟ้าด้วย

ความพยายามเหล่านั้นใช่ว่าจะไม่เกิดผล เคยทำสำเร็จจนมีคนเอาออกมาวิ่งบนถนนได้อยู่เป็นพัก ๆ และเคยมีรถแท็กซี่ไฟฟ้าวิ่งกันให้ว่อนในลอนดอนช่วงปี 1887 ด้วยซ้ำ แต่รถเหล่านี้ก็ต้องพบกับข้อเสียมากมายที่สุดท้ายคนมองว่าไม่ตอบโจทย์ อย่างรถไอน้ำก็มีน้ำหนักมาก วิ่งได้ไม่ทน ต้องอุ่นหม้อต้มก่อนวิ่งตลอด ส่วนรถไฟฟ้าก็ยังวิ่งได้ไม่ไกล และชาร์จนานกว่าวิ่ง (คล้ายทุกวันนี้แหละ) และหลายพื้นที่ยังไม่มีไฟฟ้าเข้าถึง ทำให้สุดท้ายก็ไปไม่รอด

จนกระทั่งรถยนต์เครื่องน้ำมันถูกคิดค้นขึ้นช่วงปลายศตวรรษที่ 19 โดยมีต้นแบบเครื่องยนต์มาจากมอเตอร์ไซค์อีกที ซึ่งรอบนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะเวิร์กเลย และยังมีข้อเสียมากมายเหมือนกัน

รถยนต์น้ำมันยุคแรก ๆ ต้องสตาร์ตมือ หมุนเพลาเครื่องอัดผสมอากาศและเชื้อเพลิงจนจุดระเบิดให้เครื่องเริ่มทำงาน หมุนช้าหรือเร็วผิดจังหวะไปหน่อยนึงเครื่องอาจเด้งสวนจนนิ้วหัก ข้อมือหัก แขนหัก หรือบาดเจ็บอย่างอื่นด้วยก็ได้ ก่อนที่ปุ่มสตาร์ตไฟฟ้าจะเริ่มใช้ในปี 1911

อีกทั้งการใช้รถยนต์ยังส่งเสียงดังและปล่อยควันฟุ้งเหม็นไม่แพ้ขี้ม้า การใช้รถยนต์น้ำมันร่วมถนนเดียวกันกับคนใช้รถม้ายังรบกวนทำให้ม้าเสียการควบคุมได้ง่ายอีกด้วย

นอกจากนี้ปัญหาสำคัญของรถยนต์คือ โครงสร้างพื้นฐานที่ยังไม่รองรับ ในช่วงประมาณ 10 ปีแรกของรถยนต์ยังไม่มีปั๊มน้ำมันแพร่หลาย

แต่ปัญหาที่แลกมากับความสะดวกสบายยังไงก็ถือว่าคุ้ม แม้คนบางส่วน (หรืออาจจะส่วนใหญ่) จะไม่เห็นด้วย รถยนต์ยังคงค่อย ๆ แพร่หลายขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ในช่วงแรกของการเปลี่ยนผ่านผู้คนมากมายล้อเลียนคนใช้รถยนต์ ตะโกนใส่ว่า “ไปหาม้ามาลากซะ!” หรือถึงขั้นเหยียด มีการ์ตูนที่ล้อคนใช้รถยนต์อย่าง “Reggy’s Christmas Present” ที่มีคนขับรถมาฝ่าข้าวของ คนและสัตว์กระจัดกระจาย รวมถึงการ์ตูนที่ตัวละครให้คำแนะนำกันว่า “ถ้าเผลอขับรถทับเด็กให้รีบหนีทันที” จนรถยนต์ถูกมองเป็นปีศาจร้าย และมีข่าวอุบัติเหตุจากรถยนต์เต็มไปหมด

แต่ปัญหาหลายอย่างจากการใช้รถยนต์ใช่ว่าจะแก้ไม่ได้ เริ่มมีกฎหมายควบคุมความเร็ว และกฎจราจรหลายอย่างออกมา มีการคิดค้นป้ายสัญญาณ และรวมถึงการเริ่มพัฒนาไฟเลี้ยว ทำให้รถยนต์ยังได้ไปต่อ

บวกกับการค้นพบแหล่งน้ำมันใหญ่ในเท็กซัสช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ก็ทำให้น้ำมันราคาถูก (ในตอนนั้นนะ) และประมาณปี 1905 ที่รถยนต์วิ่งว่อนเต็มไปหมด ก็เริ่มมีปั๊มน้ำมันผุดขึ้นตามมาด้วย และน้ำมันยังหาซื้อง่ายมากตามร้านค้าทั่วไป อีกทั้งผลจากการเริ่มปูถนนในสหรัฐเมื่อปี 1870 ทำให้ถนนหนทางต่าง ๆ สะดวกพร้อมวิ่งมากขึ้น จึงทำให้โครงสร้างพื้นฐานของรถยนต์ค่อนข้างพร้อม และต่อยอดได้ไม่ยาก

บรรดานักลงทุนเจ้าของธุรกิจต่าง ๆ ก็เริ่มเห็นว่า รถยนต์มาแน่ พากันก่อตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ขึ้นมา ซึ่งจุดเปลี่ยนสำคัญอยู่ที่ การเกิดขึ้นของ “Ford Model T” ในปี 1908 เป็นรุ่นที่คุณภาพดี ราคาเข้าถึงง่าย คนจึงหันมาใช้รถยนต์อย่างคับคั่ง และการตอกฝาโลงของรถม้า คือ การสร้าง “แนวประกอบชิ้นส่วน” หรือ “The Assembly Line” ในปี 1913 ที่ทำให้ Ford ผลิตรถยนต์จำนวนมากได้ในเวลาที่รวดเร็ว สอดรับกับความนิยมรถยนต์ที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ในที่สุดการใช้รถม้าในสหรัฐอเมริกาก็หมดไปในปี 1917 แต่ในบางส่วนงานอย่างการขนส่งสินค้าก็ยังนิยมใช้เกวียนอยู่ จนสุดท้ายมีการคิดค้นรถบรรทุกขึ้นมาได้และแทนที่ “การใช้ม้า” ด้วย “แรงม้า” อย่างสมบูรณ์ในปี 1920

ความนิยมรถยนต์ทำให้กลุ่มอาชีพที่เกี่ยวกับม้า ทั้งเจ้าของคอกม้า คนจัดหาอาหาร คนเลี้ยง คนฝึกได้รับผลกระทบหนักกันถ้วนหน้า และแน่นอนว่าผู้ผลิตรถยนต์ และน้ำมันนั้นได้ประโยชน์เต็ม ๆ เติบโตมหาศาลจากการเปลี่ยนผ่านนี้

คำนวณดูคร่าว ๆ จะเห็นว่าการเปลี่ยนผ่านจากรถม้าสู่รถยนต์เครื่องสันดาปใช้เวลานานเกือบ 30 ปี แต่มันก็วางรากฐานให้เราก็ใช้มายาวอีกร่วม 100 ปีเลย

ดังนั้นหันมามองที่รถยนต์ไฟฟ้า ตั้งแต่การหันมาเริ่มใช้รถ EV บนท้องถนนอย่างจริงจัง แม้มันแค่ไม่กี่ปี แต่กลับได้รับความนิยมสูงขนาดมาก และการเริ่มในยุคที่เทคโนโลยีค่อนข้างพร้อม ทำให้ความสำเร็จในการเปลี่ยนผ่านอยู่ไม่ไกลแล้ว

ใครยังยื้อหรือต่อต้านการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคพลังงานใหม่ ก็อาจเสี่ยงต่อการพ่ายแพ้ไปในวันที่การเปลี่ยนผ่านสมบูรณ์

ส่วนใครที่แซะ แซว หรือดูถูกคนใช้รถไฟฟ้า ไม่ว่าจะเรื่อง วิ่งไม่ไกล ไปต่างจังหวัดไม่ถึง ชาร์จนาน เสียเวลา เสียงไม่เท่ รถของเล่น ฯลฯ ถ้าได้รู้เรื่องนี้แล้วล่ะก็ลองคิดดูอีกทีดีกว่า เพราะหลายปัญหาของรถ EV กำลังถูกแก้ไขอยู่อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นระบบโครงสร้างพื้นฐานอย่างจุดชาร์จที่เพิ่มขึ้นมากในเวลาไม่กี่ปี ระยะทางของรถที่วิ่งได้ไกลขึ้นไม่ต่างจากรถน้ำมัน การคิดค้นระบบชาร์จที่เร็วได้ทันเติมน้ำมันแต่ปลอดภัย และอีกหลากหลายอย่าง

ชี้ให้เห็นถึงอนาคตที่รถยนต์กำลังมุ่งหน้าไป และยุคสมัยที่กำลังเปลี่ยนผ่านจาก “น้ำมัน” สู่ “ไฟฟ้า”

You Might Also Like

วัดกำลังอสังหาฯ ยามพบศึกหนัก แผ่นดินไหว vs สงครามการค้า บ้านแนวราบโต แต่ตลาดคอนโดตึกสูงสั่นคลอน

ไม่ใช่แค่แรงงานไทยมักง่าย แต่นายจ้างเกาหลีก็อยากได้ผีน้อย

ไม่เอาแอปจีน! รัฐเท็กซัสประกาศแบนทั้ง DeepSeek, RedNote, Lemon8 

แนวโน้มอุตสาหกรรมยานยนต์ปี 2568 คาดยอดจัดส่งรถยนต์ EV โต 17%

Sign Up For Daily Newsletter

Be keep up! Get the latest breaking news delivered straight to your inbox.
By signing up, you agree to our Terms of Use and acknowledge the data practices in our Privacy Policy. You may unsubscribe at any time.
[email protected] January 8, 2024
Share this Article
Facebook Twitter Email Copy Link Print
Previous Article ผ่ากระแสวีแกน – แพลนต์-เบสด์ จุดเริ่มต้นมาจากไหน? ตกลงควรกินไหม? กินแล้วทั้งเราและโลกได้ประโยชน์อะไร?
Next Article วิธีรับมือกับ Post-Vacation Blues อาการเซื่องซึมหลังหยุดยาว ที่ทำให้ดาวน์อย่างต่อเนื่อง
CTD - Connect the Dots

Connect The dots ชุมชนสำหรับผู้ที่ชอบค้นหาโอกาสใหม่ พัฒนาตัวเองตลอดเวลา และเชื่อในโอกาสใหม่ๆ พื้นที่แลกเปลี่ยนความรู้ ไม่ว่าจะเป็นโลกธุรกิจ การลงทุน เทรนด์กระแส หรือ แม้กระทั่ง การเงินส่วนบุคคล ร่วมลากเส้น ต่อจุด เพื่อทุกความเป็นไปได้ไปกับเรา เพียงคุณเริ่มต้นที่จุดแรกไปกับเรา

Facebook Youtube Tiktok Spotify

แผนผังเว็บไซต์

Home
Business
People
News
Contact
Opinion
Investment
CIS
Sustainable
About Us

Copyright © 2024 Connect the Dots – All Rights Reserved

ข้อตกลงและเงื่อนไข

คำเตือนความเสี่ยงฉบับเต็ม

Removed from reading list

Undo
Welcome Back!

Sign in to your account

Lost your password?