CTD - Connect the Dots
  • Home
  • Business
  • People
  • Investment
  • Opinion
  • CIS
  • News
    • News
    • Sustainable
  • Contact
    • Contact
    • About Us
Reading: 17 ปีแห่งความหลัง ครบรอบรัฐประหาร 2549ย้อนภาพเศรษฐกิจในวันวาน ก่อนอำนาจเปลี่ยนมือ
Share
CTD - Connect the Dots
Aa
  • Home
  • Business
  • People
  • Investment
  • Opinion
  • CIS
  • News
  • Contact
Search
  • Home
  • Business
  • People
  • Investment
  • Opinion
  • CIS
  • News
    • News
    • Sustainable
  • Contact
    • Contact
    • About Us
Follow US
Copyright © 2020 Creative Investment Space – All Rights Reserved
CTD - Connect the Dots > Blog > Opinion > 17 ปีแห่งความหลัง ครบรอบรัฐประหาร 2549ย้อนภาพเศรษฐกิจในวันวาน ก่อนอำนาจเปลี่ยนมือ
Opinion

17 ปีแห่งความหลัง ครบรอบรัฐประหาร 2549ย้อนภาพเศรษฐกิจในวันวาน ก่อนอำนาจเปลี่ยนมือ

korlajeshop@gmail.com
Last updated: 2024/03/12 at 4:07 PM
[email protected] Published September 19, 2023
Share

เป็นเวลา 17 ปีแล้วครับ หลังการรัฐประหารรัฐบาลของอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ในวันที่ 19 กันยายน ปี 2549 โดย ‘คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข’ หรือ คปค. ภายใต้การนำของ พลเอก สนธิ บุญยรัตกลิน

หนึ่งจุดเปลี่ยนสำคัญที่เป็นคลื่นกระแทก สะเทือนการเมืองไทยมานับทศวรรษ แต่ไม่ใช่แค่การเมืองเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบจากการรับประหาร และคงไม่ใช่เรื่องที่เราจะมาพูดถึงกันในวันนี้

ด้านเศรษฐกิจคืออีกเรื่องที่ได้รับผลกระทบโดยตรง และเป็นประเด็นที่เราอยากจะมาพูดคุยกัน เพราะเรื่องนี้สำคัญอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ วันนี้เราจะพาไปย้อนดูภาพเศรษฐกิจในวันวาน ว่าก่อนหน้านั้นเศรษฐกิจไทยเป็นอย่างไร และการรัฐประหารครั้งนั้น หรือครั้งไหน ๆ ส่งผลอย่างไรภาพภาพรวมเศรษฐกิจไทยบ้าง

ช่วงก่อนรัฐประหาร เป็นช่วงการบริหารงานของ ‘รัฐบาลทักษิณ’ ถึง 2 สมัยซ้อน ซึ่งโดดเด่นด้านนโยบายเศรษฐกิจมาก เพราะประเทศไทยเพิ่งผ่านต้มยำกุ้งปี 40 มาหมาด ๆ สถาบันการเงินล้ม ธุรกิจเจ๊งยับแบบโดมิโน ต่างชาติถอนทุนจำนวนมาก ทำให้ต้องเร่งแก้ไขเรื่องนี้เป็นสำคัญอย่างเลี่ยงไม่ได้ จนเกิดเป็นชื่อเรียกนโยบายเศรษฐกิจในยุคนั้นว่า “ทักษิโณมิกส์” มาจากชื่อ “ทักษิณ” รวมกับคำว่า “อีโคโนมิกส์ (Economics)” นั่นเอง

ซึ่งนโยบายนี้ก็ได้รับการยอมรับว่าเป็นสิ่งที่เข้ามาแก้ปัญหาเศรษฐกิจไทยที่กำลังถดถอยได้ดีในระดับหนึ่ง ด้วยการประยุกต์เอาแนวคิดการบริหารแบบเอกชนที่ประสบความสำเร็จมาใช้กับระบบราชการ

สิ่งที่เกิดขึ้นในยุคนั้นคือ “ระบบเศรษฐกิจแบบคู่ขนาน (Dual Track Policy)” ที่มุ่งการพัฒนาเศรษฐกิจไทยควบคู่ไปกับการเติบโตของเศรษฐกิจโลก กระตุ้นอุปสงค์ทั้งภายในและภายนอกประเทศ เพื่อให้เกิดความแข็งแรงในทุกระดับ โดยมุ่งพัฒนาตั้งแต่ระดับล่าง เรียกกันว่าเป็นวิธีการพัฒนา “รากหญ้า สู่รากแก้ว” เข้ามาดูแลและพัฒนาเศรษฐกิจตั้งแต่ระดับครัวเรือนก่อน และในขณะเดียวกันก็ผลักดันให้การส่งออกเติบโต พร้อมทั้งการลงทุนจากต่างชาติ

เศรษฐกิจในระดับรากหญ้ามีการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ หรือ OTOP ถือเป็นนโยบายสำคัญที่เกิดขึ้นในยุคนั้น สร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ให้เศรษฐกิจในระดับรากหญ้า ให้ชาวบ้านในหลาย ๆ พื้นที่ได้รับประโยชน์อย่างแท้จริง เช่นเดียวกับนโยบายอื่น ๆ อย่างการพักหนี้เกษตรกร และมาตรการเจาะกลุ่มเกษตรกรต่าง ๆ ที่เรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่ “จับต้องได้” และเห็นผลจริง ๆ

การส่งออก ถือเป็นอีกหนึ่งหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจไทยในยุคนั้น โดยการผลิตรถยนต์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในไทยเริ่มแข็งแรง และเป็นสินค้าส่งออกสำคัญของไทย ควบคู่ไปกับการส่งออกของสินค้าการเกษตร ซึ่งได้ส่งเสริมการแปรรูปและเพิ่มมูลค่าสินค้าการเกษตร ทำให้โดยรวมแล้วการโดยรวมก็เป็นหนึ่งรายได้หลักของประเทศในทศวรรษนั้น

อีกหนึ่งฟันเฟืองสำคัญที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยสมัยนั้นคือการท่องเที่ยว ที่เอาจริง ๆ ก็เพิ่งจะมีบทบาทสำคัญเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจจริง ๆ จัง ๆ รัฐบาลได้เชื่อมโยงอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเข้ากับนโยบายเศรษฐกิจขนาดเล็กระดับชุมชนอย่าง OTOP ที่เกื้อหนุนกันได้ดี ทำให้การท่องเที่ยวท้องถิ่นไทยเป็นที่นิยมมากขึ้นด้วย และในปี 41 เองก็เกิดคำขวัญเที่ยวไทยยังติดหูกันอยู่ทุกวันนี้อย่าง “มหัศจรรย์ประเทศไทย” หรือ “Amazing Thailand” ด้วย

สำหรับเรื่องการลงทุน ตลาดหุ้นไทยในตอนนั้นหลังร่วงลงมาเหลือ 300 จุดจากผลกระทบของต้มยำกุ้ง ในรัฐบาลทักษิณก็สามารถกอบกู้ตลาดหุ้นไทยขึ้นมาที่ 772 จุดได้ พร้อมปลดหนี้ IMF ได้สำเร็จก่อนเวลา นอกจากนี้ก็มีการเปลี่ยนแปลงสำคัญอย่างการนำรัฐวิสาหกิจหลายตัวเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ และให้ผลลัพธ์ที่ดีอยู่ไม่น้อย

โดยรวมก็ถือว่าเป็นหนึ่งยุคที่หลายคนยอมรับว่าเป็นยุคหนึ่งที่ประเทศไทยมีเศรษฐกิจที่ดี แม้ว่าจะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์เรื่องความโปร่งใสและผลประโยชน์ทับซ้อน อันนำไปสู่การรัฐประหารในเวลาต่อมา ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นการดึงเบรกมือการพัฒนาด้านเศรษฐกิจตอนที่กำลังแล่นอยู่บนถนนแห่งความเจริญ

เอริก เมเยอร์สัน (Erik Meyersson) อดีตอาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์จาก Stockholm School of Economics ศึกษาเรื่องผลกระทบจากการรัฐประหารต่อระบบเศรษฐกิจ และพบว่าการรัฐประหารในประเทศประชาธิปไตยทำให้ GDP ต่อหัว ลดลงกว่า 1% ต่อปีได้เป็นเวลาต่อเนื่องนับสิบปี และผลในทางบวกที่เกิดกับประเทศเผด็จการก็มีเพียงเล็กน้อยอย่างไม่มีนัยสำคัญด้วยซ้ำ อีกทั้งการรัฐประหารทำให้เกิดการขาดเสถียรภาพทางการเมือง ซึ่งแน่นอนว่าจะกระทบกับการลงทุนจากต่างประเทศ ทำให้นักลงทุนไม่มั่นใจในการเติบโตของธุรกิจต่าง ๆ และตัดสินใจลงทุนน้อยลง

ถึงอย่างนั้นก็มีบางคนที่มองว่าการรัฐประหารให้ประโยชน์กับประเทศชาติ ซึ่งรวมถึงด้านเศรษฐกิจด้วย เพราะการบริหารภายใต้รัฐบาลเผด็จการไม่ได้ยึดโยงกับความพอใจของประชาชน (เออ ก็อย่างนั้นแหละ) ทำให้มุ่งเน้นผลประโยชน์ของชาติในระยะยาวได้โดยไม่ต้องเอาใจหรือเรียกคะแนนเสียง (หา….) นั่นแหละ ซึ่งหลักฐานที่สนับสนุนความคิดเห็นฝั่งนี้คือความสำเร็จของประเทศจีน ซึ่งเอาจริง ๆ ความสำเร็จของจีนมันซับซ้อนกว่าแค่ระบอบการปกครองเยอะครับ แต่เอาง่าย ๆ เลยคือมันมีประเทศเผด็จการที่ทำได้อย่างจีนสักกี่ประเทศเชียว

ถึงอย่างไรตัวเลขและสถิติคือสิ่งที่บอกความเป็นไปได้ได้ดีที่สุด งานวิจัยของ แดรอน อาซีโมกลู (Daron Acemoglu) และเจมส์ เอ. โรบินสัน (James A. Robinson) ชี้ชัดว่าประเทศที่อยู่ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยจะมีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดีกว่าและร่ำรวยกว่าประเทศเผด็จการถึง 20% ในระยะยาว มีการลงทุนมากกว่า จัดเก็บภาษีได้มากกว่า ทั้งยังมีการสนับสนุนด้านการศึกษาและสาธารณสุขที่ดี ซึ่งนับว่าเป้นเรื่องสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและประเทศโดยรวม

พูดกันง่าย ๆ ก็คือ การรัฐประหารมัน “ไม่ช่วย” อะไรเลยในทางเศรษฐกิจ แม้ว่าการปกครองด้วยประชาธิปไตยมันจะไม่ใช่ปัจจัยเดียว และไม่ระบบที่ดีที่สุดเสมอ แต่คงเรียกได้ว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจพัฒนาได้ในหลากหลายมิติ ที่อาจเห็นได้จากภาพสะท้อนของเศรษฐกิจในยุคนั้น

You Might Also Like

วัดกำลังอสังหาฯ ยามพบศึกหนัก แผ่นดินไหว vs สงครามการค้า บ้านแนวราบโต แต่ตลาดคอนโดตึกสูงสั่นคลอน

ไม่ใช่แค่แรงงานไทยมักง่าย แต่นายจ้างเกาหลีก็อยากได้ผีน้อย

ไม่เอาแอปจีน! รัฐเท็กซัสประกาศแบนทั้ง DeepSeek, RedNote, Lemon8 

แนวโน้มอุตสาหกรรมยานยนต์ปี 2568 คาดยอดจัดส่งรถยนต์ EV โต 17%

Sign Up For Daily Newsletter

Be keep up! Get the latest breaking news delivered straight to your inbox.
By signing up, you agree to our Terms of Use and acknowledge the data practices in our Privacy Policy. You may unsubscribe at any time.
[email protected] September 19, 2023
Share this Article
Facebook Twitter Email Copy Link Print
Previous Article มนุษย์ต่างดาว มีจริงไหมยังไม่รู้แต่ที่รู้ NASA มีตำแหน่ง “เจ้าหน้าที่พิทักษ์โลก” เตรียมไว้แล้ว!
Next Article 1.3 ล้าน “ราคาความสุข” ของคนไทย จะสุขได้ต้องมีเงิน
CTD - Connect the Dots

Connect The dots ชุมชนสำหรับผู้ที่ชอบค้นหาโอกาสใหม่ พัฒนาตัวเองตลอดเวลา และเชื่อในโอกาสใหม่ๆ พื้นที่แลกเปลี่ยนความรู้ ไม่ว่าจะเป็นโลกธุรกิจ การลงทุน เทรนด์กระแส หรือ แม้กระทั่ง การเงินส่วนบุคคล ร่วมลากเส้น ต่อจุด เพื่อทุกความเป็นไปได้ไปกับเรา เพียงคุณเริ่มต้นที่จุดแรกไปกับเรา

Facebook Youtube Tiktok Spotify

แผนผังเว็บไซต์

Home
Business
People
News
Contact
Opinion
Investment
CIS
Sustainable
About Us

Copyright © 2024 Connect the Dots – All Rights Reserved

ข้อตกลงและเงื่อนไข

คำเตือนความเสี่ยงฉบับเต็ม

Removed from reading list

Undo
Welcome Back!

Sign in to your account

Lost your password?