ประกอบกับความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจหลังการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดชะลอตัวลง (ยังไม่ถึงกับจบ แต่พอที่จะควบคุมได้) สำนักวิจัยทางเศรษฐกิจเกือบทั้งหมดได้วิเคราะห์ว่า เศรษฐกิจจีนจะเป็นแห่งเดียวในโลกที่ยังสามารถเติบโตได้ในปีนี้ แม้จะเพียง 1% แต่หากเทียบกับประเทศอื่นที่ติดลบถึงหลักเลขสองหลักก็ต้องถือว่าดีมากแล้ว
ตลาดหุ้นจีนเคยอยู่ในภาวะกระทิงมาแล้วสองครั้ง คือครั้งแรกในปี 2007 ซึ่งเป็นปีก่อนที่จะเกิดมหกรรมโอลิมปิกที่ประเทศจีนเป็นเจ้าภาพ ตอนนั้นจีนได้แสดงศักยภาพของการเป็นมหาอำนาจใหม่ของโลก และการลงทุนทางโครงสร้างพื้นฐานจำนวนมหาศาล ดัชนีตลาดหุ้นขึ้นไปแตะระดับ 6,000 จุด
ครั้งที่สอง เกิดขึ้นในปี 2015 หลังจากวิกฤติซับไพร์มได้จบลง เศรษฐกิจจีนกลับมาร้อนแรงอีกครั้ง ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นพุ่งขึ้นไปแตะระดับ 5,200 จุด ปรับตัวขึ้นกว่า 150% มีการพูดถึงการสร้างจุดสูงสุดใหม่ ทว่า ตลาดก็กลับมาเป็นภาวะหมีอีกครั้ง โดยหุ้นร่วงลงกว่า 30% ในระยะเวลาเพียงสามสัปดาห์เท่านั้น จากนั้นก็ขึ้นๆ ลงๆ มาเกือบ 5 ปี
การที่สัปดาห์ที่แล้ว ดัชนี Shanghai Composite ทะลุผ่านระดับ 3,200 จุด ซึ่งเป็นจุดสูงสุดเดิมของปีที่แล้วไปได้ ทำให้เกิดความหวังว่า นี่จะเป็นขาขึ้นรอบที่สามของตลาดหุ้นจีนหรือไม่
ปัจจุบัน ประเทศจีนมีตลาดหุ้นสองแห่งคือ ตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้ (Shanghai Stock Exchange – SSE) และ ตลาดหลักทรัพย์เซินเจิ้น (Shenzhen Stock Exchange – SHZE) ทั้งสองตลาดหลักทรัพย์มีมูลค่าใหญ่ติด 1 ใน 10 ของตลาดหลักทรัพย์โลก โดย SSE นั้น มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 4 และ SHZE อยู่ที่อันดับ 8
อย่างไรก็ตาม ทางการจีนได้จำกัดการเข้าลงทุนของต่างชาติในสองดัชนีดังกล่าว จึงทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่เป็นชาวจีนที่อยู่ในแผ่นดินใหญ่ และใช้สกุลเงินหยวนในการลงทุนเท่านั้น
หากสนใจที่จะลงทุนในตลาดหุ้นจีน ต้องทำความรู้จักกับสองดัชนีแบบแรกคือ A Share คือดัชนีที่รวมหุ้นจากดัชนี SSE และ SHZE เอาไว้ โดยเป็นหุ้นที่จดทะเบียนอยู่และดำเนินธุรกิจอยู่ในจีนแผ่นดินใหญ่
ขณะที่ H Share จะเปิดให้นักลงทุนต่างชาติสามารถเข้ามาลงทุนได้ โดยเป็นบริษัทจีนที่ดำเนินธุรกิจในแผ่นดินใหญ่ แต่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง ซึ่งเป็นหนึ่งในศูนย์กลางทางการเงินและการลงทุนของโลก และเป็นหนึ่งในเขตเศรษฐกิจพิเศษของจีน
นอกจากนี้ ยังมีดัชนี CSI 300 Index ซึ่งเป็นดัชนีที่ประกอบด้วยหุ้น A-Shares 300 หุ้น ซึ่งจดทะเบียนอยู่ที่ดัชนี SSE และ SHZE โดยคัดเลือกจากหุ้นทั้งหมดกว่า 1,800 หลักทรัพย์ โดยหุ้น 300 หลักทรัพย์นี้ เป็นตัวแทนประมาณ 60% ของมาร์เก็ตแคปรวมทั้ง 2 ตลาด ทั่วไปแล้วนักลงทุนต่างชาติจะใช้ดัชนีดังกล่าวในการตัดสินใจลงทุน
สิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ ต้องติดตามว่า การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นจีน ในครั้งนี้ จะเป็นเพียงระยะสั้น หรือเป็นการเกิดศักราชใหม่ของจีนในฐานะผู้นำใหม่ของโลกแทนที่สหรัฐฯหรือไม่
หากไม่นับดัชนี NASDAQ ที่ปรับตัวขึ้นทำลายสถิติใหม่จากการนำของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีแล้ว ดัชนี S&P500 และ Dow Jones ถึงเวลานี้ (กรกฎาคม 2563) ยังให้ผลตอบแทนติดลบ แต่ Shanghai Stock Exchange ให้ผลตอบแทนแล้ว +9% ส่วน Shenzhen Stock Exchange ให้ผลตอบแทน +12%
ปัจจัยที่จะผลักดัน ตลาดหุ้นจีน ให้เติบโตแซงหน้าตลาดหุ้นสหรัฐฯได้ในอนาคตคือ การที่จีนปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางเศรษฐกิจ จากที่เคยเป็นโรงงานผลิตของโลกที่ขึ้นชื่อในด้านการผลิตสินค้าราคาถูก เปลี่ยนมาเป็นผู้พัฒนาเทคโนโลยี รวมถึงเพิ่มสัดส่วนภาคบริการในสัดส่วนของจีดีพี โดยการบริการด้านข้อมูล ซอฟต์แวร์ และเทคโนโลยี ก็กำลังเติบโตขึ้นมาทัดเทียม ด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ย 3 ปีสูงถึง 23.4%
หากสหรัฐฯมีหุ้นเทคโนโลยีเป็นตัวชูหน้าชูตา ตลาดหุ้นจีนก็มีหุ้นกลุ่มนี้ด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น Tencent, Baidu, ZTE รวมถึงบริษัทเทคโนโลยีเกิดใหม่อีกมากมาย นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มสถาบันการเงินอย่าง ธนาคารบิ๊ก 4 และ Ping An ที่เป็นหุ้นมาร์เก็ตแคปใหญ่
แม้คนไทยจะมีโอกาสน้อยที่จะลงทุนโดยตรงในตลาดหุ้นจีน แต่ก็พอมีช่องทางลงทุนทางอ้อมอย่างกองทุน ETF, กองทุนรวม ได้เช่นกัน นี่คือโอกาสการลงทุนที่ไม่ควรพลาด
ที่มา :
#CISThai
Line Official: https://lin.ee/jO65rNq
Website: https://connectthedotsth.com/
FB Fanpage: https://www.facebook.com/CreativeInvestmentSpace