เมื่อปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ทาง Mattel บริษัทผู้ผลิตบาร์บี้ ได้จับมือกับ HMD ผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือ Nokia เปิดตัว “Barbie Phone” โทรศัพท์ฝาพับแบบย้อนยุคที่ถูกดัดแปลงจาก Nokia 2660 ให้ออกมาเป็นโทรศัพท์ฝาพับสีชมพูสุดน่ารักในธีมบาร์บี้ โดยมีเป้าหมายให้เป็นโทรศัพท์เครื่องที่สอง เพื่อช่วยคนรุ่นใหม่ลดการใช้งานโซเชียลมีเดีย ตามกระแสดิจิทัลดีท็อกซ์
Barbie Phone เป็นโทรศัพท์ฝาพับตัวเครื่องสีชมพูล้วน ขนาดหน้าจอหลัก 2.8 นิ้ว จอนอกที่ฝาหลังเป็นจอกระจกเงาขนาด 1.77 นิ้ว
ใส่ได้ 2 ซิมการ์ดแบบนาโน หน่วยความจำภายใน 128 MB มีช่องใส่ microSD card เพิ่มได้สุงสุดถึง 32 GB แรม 64 MB
กล้องหลัง 5 เมกะพิกเซล ให้ภาพแบบ Y2K มีแฟลช LED
มีเครื่องเล่น MP3 ฟังวิทยุ FM ได้ มีช่องเสียหูฟัง 3.5 มม. ใช้บลูทูธ 5.0 เครือข่ายความเร็วสูงสุด 4G
ใช้สายชาร์ Type-C แบตเตอรี่ถอดได้ ความจุ 1450 mAh คุยโทรศัพท์ต่อเนื่องได้ถึง 9 ชั่วโมง
ในกล่องมีฝาให้เปลี่ยนอีก 2 ลาย พร้อมทั้งสติ๊กเกอร์และอุปกรณ์ตกแต่ง พร้อมทั้งสายห้อยสุดน่ารัก
การใช้งานเป็นแบบทั่วไป เน้นโทรออก รับสาย ส่งข้อความ มีแค่เกมงูให้เล่น มีวิทยุกับ MP3 ให้ฟัง เข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้อย่างจำกัด ไม่สามารถเล่นโซเชียลมีเดียได้
แต่มีแอปที่แนะนำ Digital Balance tips มาให้ มีแอปทำสมาธิกับบาร์บี้ พร้อมกับโค้ด Easter Eggs เกี่ยวกับบาร์บี้ที่ให้ได้สนุกกัน
ซึ่งดูแล้วมันก็เหมือนกับโทรศัพท์สมัยก่อนที่ยังไม่มีการเข้าถึงโซเชียลมีเดีย
ก่อนหน้านี้ HMD ก็เคยร่วมงานกับ Heineken และ Bodega ผลิต Boring Phone โทรศัพท์ฝาพับสีใสต้นแบบจาก Nokia Flip ที่จำกัดการเข้าถึงโซเชียลมีเดียและอินเทอร์เน็ต คล้ายกันกับ Barbie Phone ด้วยแนวคิดในการลดการใช้งานโซเชียลมีเดียและใช้เวลาคุณภาพกับคนรอบตัวมากขึ้น โดยเป็นโทรศัพท์มือถือรุ่นนี้ เขามีไว้แจกเท่านั้น
Barbie Phone จึงเป็นอีกครั้งที่ HMD ได้สนับสนุนอุดมการณ์ในการลดการใช้งานโซเชียลมีเดียไป อย่างที่ได้พัฒนาฟีเจอร์ “Detox Mode” ในสมาร์ตโฟนหลายรุ่นของทางบริษัท เพื่อลดการใช้งานโซเชียลมีเดียแบบชั่วคราว จำกัดการแจ้งเตือนและลดการใช้งานหน้าจอ
ถึงอย่างนั้น แม้ Barbie Phone จะขับเคลื่อนด้วยอุดมการณ์แบบเดียวกัน แต่รูปแบบมันต่างไป ทำให้แม้จะลดการเข้าถึงโซเชียลมีเดียไป แต่ในขณะเดียวกันก็ตัดความสะดวกสบายหลายอย่างออกไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นแอปธนาคารที่ใช้ในการทำธุรกรรรม หรือ การเข้าถึงแอปต่าง ๆ ที่เราต้องใช้ในชีวิตประจำวัน นั่นทำให้โทรศัพท์เครื่องนี้จะไม่มีทางเป็นอุปกรณ์หลักที่คนจะใช้ในชีวิตประจำวันแน่นอน เป็นได้แค่เครื่องที่สองอย่างที่ผู้ผลิตตั้งใจไว้
แต่ปัญหามันก็อาจจะอยู่ตรงนั้นแหละ เพราะถ้าสุดท้ายแล้วผู้ใช้ยังต้องพึ่งพาโทรศัพท์เครื่องหลักของพวกเขาอยู่ สำหรับกิจกรรมหลายอย่างในชีวิตประจำวันที่จำเป็น Barbie Phone ก็อาจไม่ได้ให้ผลลัพธ์อย่างที่ตั้งใจว่าจะช่วยดิจิทัลดีท็อกซ์ ใช้แค่ตอนโทรออกหรือรับสาย มันก็คล้ายกันกับหลายคนที่แยกโทรศัพท์ทำงานกับส่วนตัว
นอกจากนี้ ในปัจจุบันคนรุ่นใหม่อย่าง Millennials และ Gen Z สื่อสารด้วยการโทรน้อยลงด้วย การสำรวจของ Uswitch ที่ถามกลุ่มตัวอย่างอายุ 18-34 จำนวน 2,000 คน พบว่า กว่า 70% เลือกส่งข้อความมากกว่าโทร เนื่องจากพวกเขาไม่ได้เติบโตมาในยุคที่ต้องคุยโทรศัพท์เป็นประจำ ในวัยเด็กของคนกลุ่มนี้ก็เริ่มมีโซเชียลมีเดียเข้ามาแล้ว และกว่าครึ่งยอมรับว่า เวลามีสายเข้าโดยไม่คาดคิด พวกเขาจะนึกว่ามีเรื่องร้ายเกิดขึ้นด้วยซ้ำ หลายคนถึงกับพยายามเลี่ยงการรับสาย เพราะรู้สึกกดดันที่ต้องตอบรับทันที
นั่นทำให้จริง ๆ แล้ว Barbie Phone แทบไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้จริงในชีวิตประจำวันโดยเฉพาะกับคนรุ่นใหม่ คนที่ซื้อไปก็จะซื้อไปเพราะความชื่นชอบมากกว่า และทำให้ Barbie Phone อาจอยู่ในสถานะที่ไม่ต่างไปจาก “ของเล่น” ที่โทรออกได้เท่านั้นเอง
อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ได้หมายความว่า Barbie Phoneจะไม่ช่วยอะไรในการบำบัดการติดจอหรือโซเชียลมีเดีย แต่มันขึ้นอยู่กับว่าผู้ใช้จะยอมเสียสละความสะดวกสบายบางอย่าง เพื่อปรับตัวให้ใช้งานโทรศัพท์เครื่องนี้ได้มากน้อยแค่ไหน สุดท้ายแล้วเรื่องแบบนี้มันอยู่ที่ “คน” ไม่ใช่ที่ “ของ”
โดย Barbie Phone วางจำหน่ายแล้วในสหราชอาณาจักร ราคา 99 ปอนด์ หรือประมาณ 4,440 บาท