หลังปิดตลาดหุ้น Nasdaq วันอังคาร ยักษ์ใหญ่ EV ระดับโลกอย่าง Tesla ก็ได้ประกาศผลดำเนินการของไตรมาสแรกในปี 2024 ที่ทำรายได้ไม่เข้าเป้า ร่วง 9% เป็นการลดลงมากที่สุดครั้งแรกตั้งแต่ปี 2012 ผิดจากที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ราว 22 พันล้านดอลลาร์ กำไรต่อหุ้นที่ 51 เซนต์ แต่ผลออกมา Tesla ทำได้ 21.30 พันล้านดอลลาร์ และกำไรต่อหุ้นที่ 45 เซนต์เท่านั้น ซึ่งก็ชัดเจนว่าเป็นผลมาจากการตัดสินใจลดราคา EV เพื่อแข่งในสงครามราคากับแบรนด์จีน ส่งผลให้รายได้ของบริษัทหดตัวลงในไตรมาสนี้ และกำไรขั้นต้นลดลง 18%
รายได้สุทธิของบริษัทอยู่ที่ 1.1 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งลดลงถึง 55% จากปีก่อน รายได้จากการดำเนินงานก็ลดลงถึง 56% เหลือ 1.17 พันล้านดอลลาร์ สะท้อนให้เห็นถึงค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นสวนกับยอดขายรถ
ตัวกระแสเงินสดเองก็ติดลบ 2.5 พันล้านดอลลาร์ เป็นผลมาจากการลงทุนมหาศาลในโครงสร้างพื้นฐานสำหรับ AI และสินค้าคงคลังจำนวนมาก ซึ่งค่าใช้จ่ายทุนของ Tesla มากถึง 2.77 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสนี้ เพิ่มขึ้น 34% แม้จะมีความกดดันด้านการเงินก็ตาม
รายได้จากพระเอกของบริษัทอย่างรถยนต์ลดลง 13% อยู่ที่ 17.38 พันล้านดอลลาร์ ในขณะที่ฝ่ายพลังงานของ Tesla ทำรายได้เพิ่มขึ้น 7% คิดเป็นกว่า 1.64 พันล้านดอลลาร์ รายได้จากงานบริการและอื่น ๆ เพิ่มขึ้น 25% ที่ 2.29 พันล้านดอลลาร์รวมทั้งรายได้จากยอดขายส่วนหนึ่งมาจากเทคโนโลยี FSD ( Full Self-Driving) หรือ ระบบขับเคลื่อนด้วยตัวเองอย่างสมบูรณ์ ซึ่งมีนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า Tesla ทำรายได้ถึง 700 ล้านดอลลาร์จากส่วนนี้
โดยรวมแม้จะเป็นไตรมาสแรกที่เริ่มได้ไม่ค่อยดี แต่ Musk มั่นใจว่าไตรมาสสองจะดีขึ้นกว่านี้
อย่างไรก็ตาม ในข่าวร้ายก็ยังมีเรื่องดี ๆ ที่พอกอบกู้สถานการณ์ เมื่อ Elon Musk ได้ประกาศว่าแผนการผลิตรถ EV รุ่นใหม่ที่ราคาเข้าถึงง่ายจะเริ่มได้ในช่วงต้นปี 2025 หรืออาจเร็วกว่านั้นในช่วงปลายปีนี้ หลังจากที่เคยคาดการณ์ว่าอาจเริ่มได้ในครึ่งปีหลัง 2025 และแม้กระทั่งมีข่าวว่าจะพับเก็บโครงการ EV ราคาถูกไปแล้วก่อนหน้านี้ นอกจากนี้ Tesla ยังได้ลงทุนกับ AI มากขึ้น Musk บอกว่าได้เจรจากับผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่เจ้าหนึ่งเพื่อนำระบบผู้ช่วยคนขับมาใช้กับ FSD ด้วย
การประกาศแผนการผลิตที่เร็วขึ้นทำให้หุ้นของ Tesla พุ่งกว่า 13% หลังร่วงหนักกว่า 40% ในปีนี้จากความพ่ายแพ้ให้กับ BYD เรื่องยอดการจัดส่งรถ ซึ่ง Tesla ร่วงมา 8.5% จากไตรมาสแรกปีก่อน และผลพวงของสงครามราคาที่แข่งอย่างไรก็ไม่ชนะ รวมถึงข่าวการประกาศปลดพนักงานของ Tesla กว่า 10% ทั่วโลก
แต่กระนั้นอัตราการเพิ่มจำนวน EV ของ Tesla อาจจะยังต่ำ เนื่องจากบริษัทต้องเตรียมการผลิตรุ่นใหม่อย่าง Tesla Model 3 ซึ่งจะใช้สายการผลิตเดียวกัน เพื่อใช้ประโยชน์จากกำลังการผลิตในปัจจุบันอย่างเต็มที่ ตั้งเป้าเอาไว้ว่าจะสามารถผลิตได้มากขึ้นกว่าปี 2023 50% ก่อนที่จะลงทุนในสายการผลิตใหม่
นอกจากนี้ ในภาพรวม Tesla ดูคาดหวังกับการเติบโตของฝ่ายพลังงานมากกว่ารถยนต์ จากความสำคัญที่มากขึ้นของการแก้ปัญหาพลังงานในปัจจุบัน
โดยสรุปแล้วไตรมาสนี้ของ Tesla นับว่าหินอยู่พอตัว เจอกับความกดดันด้านการเงินที่ผลออกมาไม่ดีนัก ต้องเผชิญกับความท้าทายจากตลาดที่แข่งขันด้วยราคา ต้องปรับตัวเปลี่ยนผ่านสู่การผลิตรถและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ซึ่งนั่นก็ส่งผลกับการต้องบริหารต้นทุนที่พุ่งสูงขึ้น และพยายามขยายตลาดในฐานะผู้เล่นหลักอุตสาหกรรม EV และพลังงานหมุนเวียน