IMF หรือกองทุนการเงินระหว่างประเทศ คาดการณ์เศรษฐกิจเอเชียจะโตร้อยละ 4.6 ในปีนี้ ร้อยละ 4.4 ในปีหน้า นอกจากนี้ IMF ยังออกโรงเตือน ความเสี่ยงเชิงระบบ การขึ้นภาษีนำเข้าตอบโต้กันไปมา บั่นทอนโอกาสเศรษฐกิจทางเอเชีย เพิ่มต้นทุน กระทบห่วงโซ่อุปทาน แม้ IMF จะคาดการณ์ว่า ภูมิภาคนี้จะเป็นกำลังขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจโลก
ต้องบอกว่าเศรษฐกิจเอเชีย กำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านสำคัญ และความเสี่ยงร้ายแรงจากความตึงเครียดทางการค้าที่เพิ่มขึ้น ระหว่างประเทศคู่ค้ารายใหญ่ ในที่นี้คงหนีไม่พ้นจีนและสหรัฐอเมริกา ที่โดนัล ทรัมป์ เพิ่งชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดี และมีแนวนโยบายแบบเดิมนั่นคือ อเมริกัน เฟิร์ส ซึ่งในอดีตจีนและสหรัฐฯ เคยห่ำหั่นกันด้วยสงครามภาษีมาแล้ว จนส่งผลกระทบไปทั่วโลก
รวมถึงความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบายการเงินในประเทศเศรษฐกิจก้าวหน้า และความคาดหวังของตลาด อาจจะส่งผลต่อการตัดสินใจทางการเงินในเอเชีย ซึ่งจะกระทบกับกระแสเงินทุนโลก อัตราแลกเปลี่ยน ตลาดการเงินอื่น ๆ โดยเฉพาะเศรษฐกิจอินเดีย ที่ IMF ออกมาประมาณการว่า ขนาดของเศรษฐกิจประเทศอินเดียจะขยับขึ้นมาเป็นอันดับ 3 ของโลกในปี 2570 และข้อมูลนี้แทบจะไม่มีใครออกมาคัดค้าน นั่นยิ่งเป็นการสนับสนุนและทำให้เราเห็นว่าเศรษฐกิจอินเดียกำลังขยายตัวอย่างเต็มที่
คำถามคือ เพราะเหตุใด IMF ถึงคาดการณ์แบบนี้ ต้องย้อนกลับไปในยุค 90 ที่รัฐบาลอินเดียมีนโยบายการปฏิรูปเศรษฐกิจ โดยมีเป้าหมายในการลดจำนวนคนยากจน และแน่นอนว่า อินเดียประสบความสำเร็จ ที่สามารถลดจำนวนคนยากจนได้มากถึง 250 ล้านคนในระยะเวลาประมาณ 10 ปี สิ่งที่เกิดขึ้นอย่างเห็นได้ชัดคือ อินเดียมีกลุ่มชนชั้นกลางที่มีกำลังซื้อที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่สำคัญคือการมีแรงงานจำนวนมาก ซึ่งจะเป็นแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้อินเดียถูกประเมินว่าจะเป็นเครื่องยนต์ใหม่ของเศรษฐกิจโลก
นอกจากนี้ข้อมูลจาก J.P. Morgan Economics Research ยังมองว่าอินเดีย เป็นประเทศหนึ่งที่เศรษฐกิจมีการเติบโตเร็วที่สุดในโลก คาดการณ์ว่า GDP จริงในปีนี้จะเติบโต 6.5% ขณะที่ผลกระทบในระยะสั้นต่อเศรษฐกิจของอินเดีย คือการเผชิญกับความผันผวนของอุปสงค์และสภาพอากาศที่ผิดปกติ ที่อาจส่งผลต่อผลประกอบการเพียงระยะสั้น ด้านผลในระยะยาวดูจะเป็นในทิศทางบวกโดยเฉพาะสำหรับนักลงทุน เพราะอินเดียมีปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง
นอกจากนโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจของรัฐบาลอินเดีย ยังมีปัจจัยอีกหลายด้านที่เป็นเงื่อนไขสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจอินเดีย เช่น ประชากรทั้งประเทศที่มีมากถึง 1,450 ล้านคน ประชากรหนุ่มสาวที่เป็นแรงงานสำคัญมีจำนวน 2 ใน 3 หรือประมาณ 1,000 ล้านคน ในขณะที่อีกหลายประเทศกำลังประสบกับปัญหาขาดแคลนแรงงาน และเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ทำให้เศรษฐกิจไม่ค่อยเติบโต
ปัจจัยอื่น ๆ คือ นโยบายภาครัฐที่สนับสนุนการลงทุนและพัฒนาเศรษฐกิจ โดยเฉพาะนโยบายที่ชื่อว่า Made in India ที่เริ่มใช้มาตั้งแต่ปี 2014 เป้าหมายของนโยบายนี้คือการผลักดันให้อินเดียเป็นศูนย์กลางการผลิตของโลก นโยบายนี้มีการลดภาษีนิติบุคคลเพื่อดึงดูดบริษัทและนักลงทุนต่างชาติ ให้มาตั้งโรงงานที่อินเดียเพิ่มขึ้น แก้ไขกฎหมายการลงทุนเพื่อลดความยุ่งยาก และยังปราบปรามข้าราชการที่ทุจริตคอรัปชั่น ซึ่งทำให้นักลงทุนต่างชาติมีความมั่นใจมากขึ้น
รัฐบาลอินเดียยังมีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจ รวมถึงการเชื่อมต่อโครงข่ายระดับโลก ทำให้บริษัทเทคโนโลยีต่างชาติทยอยตบเท้าเข้ามาลงทุนในอินเดียเพิ่มขึ้น การพัฒนาพลังงานทดแทนเพื่อสร้างความยั่งยืน การขยายตัวของภาคการผลิต
เหตุผลข้างต้นคือส่วนสำคัญที่ทำให้นักลงทุนต่างชาติตัดสินใจหันมาลงทุนในอินเดีย ดินแดนภารตะเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด บริษัทเอกชนจากไทยที่ไปลงทุนในอินเดียคือ บริษัท เอกา โกลบอล จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหาร ที่เข้าไปลงทุนสร้างโรงงานในเมืองปูเน่ ประเทศอินเดีย เมื่อมองเห็นศักยภาพของตลาดอาหารและเครื่องดื่มอินเดีย ที่มีอัตราการเติบโตอย่างมีนัยยะสำคัญ หลังจากเข้าไปเจาะตลาด สร้างฐานลูกค้าด้วยการเปิดสำนักงานขายและนำเข้าสินค้ามาตามออเดอร์ที่ได้รับ มาประมาณ 5 ปี
นายชัยวัฒน์ นันทิรุจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอกา โกลบอล จำกัด ให้ข้อมูลด้านการลงทุนในอินเดียว่า “การเข้ามาลงทุนในอินเดีย ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมีความแตกต่างจากการลงทุนในประเทศไทยพอสมควร ในด้านการดำเนินการขออนุญาต เป็นเรื่องที่มีความละเอียดอ่อน ไม่มี One Stop Service แบบไทย เราจะได้เปรียบและทำงานง่ายขึ้น หากเรามีคอนเนคชัน หรือมีคนอินเดียช่วยบริหารจัดการในขั้นต้นให้ ทั้งในแง่ของคำแนะนำ การเตรียมเอกสาร”
นอกจากนั้น ชัยวัฒน์ ยังอธิบายว่า อินเดียเป็นประเทศที่มีความพร้อมในหลายๆ ด้าน ทั้งภาคแรงงาน ระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมที่รัฐบาลกำลังพัฒนาอย่างเต็มกำลัง รวมถึงศักยภาพของบุคลากร คนอินเดียมีความเก่งและรอบรู้ ปัจจัยรอบด้านนี้จะเอื้อให้เกิดผลดีต่อการลงทุน และขยายธุรกิจในอินเดีย
การเข้าไปลงทุนในอินเดียตั้งแต่เนิ่นๆ นับเป็นการเดินเกมทางธุรกิจที่สร้างความได้เปรียบพอสมควร ทั้งในแง่ของความเชื่อมั่นต่อลูกค้า รวมถึงจะส่งผลดีต่อการขยายตลาดในอนาคต
นโยบายหลายด้านที่รัฐบาลอินเดียออกมาและบังคับใช้อย่างจริงจัง จนส่งผลให้เศรษฐกิจอินเดียเติบโตแบบก้าวกระโดด และกลายเป็นประเทศเนื้อหอมสำหรับนักลงทุนต่างชาติ นี่น่าจะเป็นตัวอย่างที่ดีที่รัฐนาวาไทยควรนำมาประยุกต์ใช้เพื่อดีต่อเศรษฐกิจไทย