“เทรดเดอร์” หรือนักซื้อขายสินทรัพย์ระยะสั้นและกลางเป็น “อาชีพ” ที่น่าจะเป็นที่โต้เถียงกันพอควร
เพราะมันก็คนที่ทั้ง “รวย” และ “เจ๊ง” จาก “อาชีพ” นี้ และหลายๆ คน ก็บอกว่าจงพึงระวังถ้าจะประกอบ “อาชีพ” นี้ และจริงๆ คนที่อยู่ใน “อาชีพ” นี้ไม่น้อยก็เรียกมันว่า “อาชีพที่เสี่ยงที่สุดในโลก”
เพราะมันไม่มีอาชีพอะไรอีกแล้วที่สินทรัพย์ที่สั่งสมมาทั้งชีวิตอาจสูญสิ้นไปในไม่กี่วินาทีถ้าไม่ “ระวัง”
มันฟังดูอันตรายและน่ากลัวมาก แต่ความเป็นจริงก็คือ มันไม่มีช่วงเวลาไหนในประวัติศาสตร์แล้วที่การเป็น “เทรดเดอร์” จะ “ง่าย” เท่าทุกวันนี้ โดยเฉพาะสำหรับชาวไทย
ทำไมถึงเป็นยังงั้น? คิดง่ายๆ ครับ ย้อนไปสัก 20 ปีก่อน คุณจะเป็น “เทรดเดอร์” คุณจะไป “เปิดพอร์ต” ที่ไหน? คุณจะหาความรู้ยังไง?
สมัยก่อนมันยากมาก คุณ “เทรด” ได้แต่หุ้นไทย และพอร์ตคุณต้องใหญ่ด้วย คือต้องมีทุนพอสมควรถึงเปิดพอร์ตได้ คนมีเงินหลักร้อยหลักพันนี่หมดสิทธิ์จะก้าวเข้าไปในโลกของเทรดเดอร์
มาทุกวันนี้สินทรัพย์ที่คุณเทรดได้มีเพียบตั้งแต่ทองคำยันคริปโต มีทุนน้อยๆ ก็เข้าไปฝึกหัดเทรดได้ บัญชีก็เปิดไม่ยาก แค่มีอินเทอร์เน็ตที่แรงพอก็จบ นอกจากนี้ “ความรู้” เรื่องการเทรดก็แทบจะมีล้น หนังสือไม่ต้องพูดว่ามีแปลมาไม่รู้เท่าไรในยุคนี้ ส่วนถ้าอ่านภาษาอังกฤษได้ ไปอ่านคอนเซ็ปต์พื้นฐานใน Investopedia ก็ได้ความรู้มากมายมหาศาลแล้ว
แต่ในทางกลับกัน “ความท้าทาย” ของยุคนี้มันแทบจะตรงกันข้ามกับยุคก่อนที่คนไม่มีทั้ง “ความรู้” และ “หนทาง” แต่ยุคนี้ทั้ง “ความรู้” และ “หนทาง” มันมีเยอะเกินไปจนเลือกไม่ถูกต่างหาก คือจะหากฏ 10 ข้อ 20 ข้อ น่ะมี แต่จะเอาของใครล่ะ? มันมีเยอะไปหมด ไม่ต้องพูดถึงตัวชี้วัดทางเทคนิคที่ก็มีเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ ให้เรางงงวยว่าจะเลือกใช้ตัวไหนดี
พูดอีกแบบ ถ้าจะพูดถึง “เทรดเดอร์” ว่าเป็น “ศาสตร์” มันก็คงมี “หลายสำนัก” สุด ให้เราเลือกที่จะศึกษาและสมาทาน ซึ่งก็ไม่ต้องพูดว่าถ้าเอาคนละสำนักมาคุยกัน การ “ตีกัน” มันก็ปกติมาก ทั้งๆ ที่บางที “ข้อสรุป” สุดท้ายก็อาจเหมือนกัน
แต่ก็นั่นแหละ “มีทางเลือกเยอะเกิน” ก็ยังดีกว่า “ไม่มีทางเลือก” แบบสมัยก่อน
แล้วเราจะเตรียมตัวยังไงถ้าอยากลองเดินไปทางนี้?
อย่างแรกก็อาจต้องลองการศึกษาว่าการเป็น “เทรดเดอร์” ต่างจากการเป็น “นักลงทุน” อย่างไรให้ชัด แล้วก็ลองแนวทางการเทรดหลายๆ แนว ศึกษาความเป็นไปได้ว่าเราสามารถเข้าไปเทรดในตลาดสินทรัพย์อะไรได้บ้างในกรอบสินทรัพย์ที่เรามีอยู่ แล้วก็ดูในตัวเลือกเหล่านี้ว่าเราอยากลองเทรดอะไร แล้วก็ลองเข้าไปในตลาดลองเทรดดูด้วยสินทรัพย์ขั้นต่ำที่สุดที่เค้าให้เทรดได้ (เลือกแพลตฟอร์มที่เสียค่าโบรคเกอร์น้อยถึงไม่เสียค่าโบรคเกอร์จะดีที่สุด) แล้วก็เอา “วิชา” ที่เราได้ศึกษามาลองในตลาดจริง
คือเราต้องเข้าใจก่อนว่าจะเป็น “เทรดเดอร์” ก็ต้อง “ฝึก” ไม่ได้ต่างจากอาชีพอื่น คนที่ทำ “อาชีพ” นี้ได้ คือเค้าจะมีเทคนิคการบริหารสินทรัพย์และความเสี่ยง เค้าไม่ได้เทรดแบบ “เล่นพนัน” ซึ่งจะแบ่งสินทรัพย์ยังไงก็อาจแล้วแต่ตำรา แต่ “ตำรา” เทรดเดอร์อาชีพนั้นจะไม่ให้คุณเงินแบบ “หมดหน้าตัก” กับอะไรแน่ๆ นั่นผิดหลัก และคนที่ทำแบบนั้นก็เจ๊งไปหมดแล้ว ไม่รอดมาสอนคุณ
แต่ก็นั่นเอง นั่นคือ “สนามจริง” ข้อดีของยุคนี้คือคุณไม่ต้องลง “สนามจริง” เลยก็ได้ คุณเอาเงินหลักไม่กี่ร้อยไม่กี่พันไปลองเทรดในพวกแพลตฟอร์มคริปโตและฟอเร็กซ์ได้ พวกนี้คือ “สนามซ้อม” ชั้นดีที่จะทำให้คุณเข้าใจพลวัตของการเทรด รวมถึงเข้าใจ “สภาพจิตใจ” ของคุณจริงๆ เวลาอยู่ในตลาด ซึ่งอะไรพวกนี้มัน “สอน” กันไม่ได้ คุณต้องลงสนามไปแล้ว “เข้าใจ” เอง ซึ่งใน “สนามซ้อม” คุณเอาเงินก้อนเล็กๆ ของคุณลองเทรดแบบหมดหน้าตักดูก็ได้ว่าทำแล้วจะเกิดอะไรขึ้น เช่นกัน คุณลองดูก็ได้ว่าถ้าคุณไม่ต้อง Stop Loss เวลาคุณลุกออกไปฉี่หรือไปกินข้าว มันอาจทำให้เกิดอะไรได้บ้าง
คือไม่ว่าใครจะสอนอะไรคุณ สิ่งที่เป็น “อาจารย์” ที่สำคัญที่สุดของคุณคือประสบการณ์ และ “ข้อได้เปรียบ” ของคนยุคนี้คือ คุณสามารถ “หาประสบการณ์” ในการเทรดง่ายมาก แพลตฟอร์มแบบที่เชื่อถือได้มีให้เลือกเพียบ สินทรัพย์ที่เทรดได้ก็มีสารพัด
คุณต้อง “เจ็บ” คุณต้อง “ขาดทุน” บ้าง ใน “สนามซ้อม” แต่นั่นก็คือประสบการณ์ที่ดี เพราะมันจะทำให้คุณไม่เสียเงินเก็บทั้งชีวิตของคุณในภาพหลัง ซึ่งในกระบวนการ “ลองผิดลองถูก” นี้ คุณก็จะรู้เองว่าคุณถนัดเทรดสไตล์ไหน?
คุณถนัดใช้ Technical Indicator ตัวไหน?
หรือจริงๆ ไม่ใช้เลยมันเวิร์คกว่า?
คุณก็จะรู้ด้วยว่าคุณสามารถจับตาดูสินทรัพย์ได้เต็มที่พร้อมกันกี่ตัว ซึ่งนั่นคือลิมิตการ “กระจายความเสี่ยง” ของคุณ
ทั้งหมดนี้มันเป็นเรื่องของการฝึกฝนและการเดินทางเพื่อ “เข้าใจตัวเอง” เมื่ออยู่ต่อหน้า “ตลาด” ทั้งนั้น และนี่คือเส้นของของ “การเทรด” ระดับมืออาชีพจริงๆ เพราะก็อย่างที่บอก นี่คือ “อาชีพที่เสี่ยงที่สุดในโลก”
ซึ่งก็นั่นเอง ความต่างของ “การเทรด” และ “การพนัน” นั้นแกนหลักคือการบริหารความเสี่ยงนี่แหละ การเทรดเปิดให้เราบริหารความเสี่ยงโดยการคิดบนหลักของความน่าจะเป็นเพื่อให้ตนได้มากที่สุด และเสียน้อยที่สุด มันเปิดกว้างให้เราบริหารสิ่งเหล่านี้ และคนที่บริหารได้ดีก็จะอยู่รอดและได้ชื่อว่า “มืออาชีพ”
และถ้าใครจะเข้ามาในโลกนี้แล้วจินตนาการว่า “เทรดทีเดียวรวย ไม่ต้องทำงาน” เลย เอาจริงๆ เค้าอาจจะเหมาะกับการ “ซื้อหวย” มากกว่า
เพราะอย่างที่บอก “เทรด” มันเป็นเรื่องของ “ทักษะ” ที่ฝึกได้ และใครยิ่งฝึกเยอะสิ่งที่จะเกิดไม่ใช่จะรวยแบบฟ้าแลบ แต่เค้าจะ “ยืนระยะ” ไม่เจ๊งเพราะความย่ามใจในดวงของตัวเองได้ในระยะยาว และสุดท้ายจะสามารถได้ชื่อว่า “มืออาชีพ” ได้ เพราะสุดท้ายเทรดเดอร์ “มืออาชีพ” นั้นไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่มีได้รายได้จากเทรดจนรวย แต่คือคนที่ไม่ขาดทุนย่อยยับเพราะบริหารความเสี่ยงได้ดีมากกว่า
ซึ่งจะทำได้แบบนั้นมันไม่มีทางลัด มันต้องฝึกฝน ไม่ได้ต่างจากอาชีพอื่น
และก็ดังที่บอกอีก มันไม่มีช่วงเวลาใดในประวัติศาสตร์ที่เราจะ “ฝึกเทรด” ได้ง่ายเท่าทุกวันนี้อีกแล้ว