ก่อนอื่นผมต้องการให้ทุกท่านที่อ่านบทความนี้ ได้ทำความรู้จักกับ OPTIONS ให้ถูกต้องเสียก่อน เพราะมีนักลงทุนจำนวนมากที่ยังไม่รู้จัก OPTIONS หรืออาจจะเข้าใจผิดเกี่ยวกับ OPTIONS
โดยผมจะขออธิบายในมุมมองการเปรียบเทียบที่เข้าใจง่าย และ ได้เห็นถึงประโยชน์ในการนำ OPTIONS ไปใช้งานจริง
จะลงทุนอะไรดี ? ระหว่าง “หุ้น” หรือ “OPTIONS”
เป็นคำถามที่ผมมักจะถูกถามอยู่บ่อยครั้ง ในมุมมองของนักลงทุนส่วนใหญ่ มักคิดว่าจะต้องเลือกระหว่าง “หุ้น” หรือ “OPTIONS” แต่นั้นก็เป็นเพราะ เขายังไม่ได้มีความเข้าใจเกี่ยวกับ options มากนัก
ผมขอยกตัวอย่างง่ายๆ ให้ได้เห็นภาพมากขึ้น เช่น หากวันนี้ผมสนใจที่จะซื้อรถยนต์ยี่ห้อหนึ่ง ก็มีให้เลือกหลายรุ่นตั้งแต่รุ่นเริ่มต้นไปจนถึงรุ่นท๊อปสุด ซึ่งมี OPTIONS ที่แตกต่างกันในแต่ละรุ่น และผมก็ต้องไปเลือก OPTIONS ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผม
หากผมต้องการเสริมด้านความปลอดภัยผมก็ต้องเลือก OPTIONS เพิ่มในส่วน ถุงลม ระบบเบรค เซ็นเซอร์ และ ระบบความปลอดภัยอื่นๆ
แต่ถ้าหากผมต้องการเสริมด้าน Performance ผมก็ต้องเลือก OPTIONS เพิ่มในส่วนของ เครื่องยนต์ ช่วงล่าง โหมดการขับขี่
หรือ หากผมต้องการเสริมด้าน Entertainment ผมก็ต้องเลือก OPTIONS เพิ่มในส่วนของ เครื่องเสียง ลำโพง จอภาพ
แต่ถามว่าถ้าผมซื้อรถยนต์ที่ไม่มี OPTIONS เพิ่มเลย รถคันนี้ขับใช้งานได้ไหม ตอบเลย ขับได้ครับ แต่ถ้าได้เลือก OPTIONS ด้วยก็จะตอบโจทย์การใช้งานเรามากกว่าใช่ไหมครับ
เช่นเดียวกันครับ หากทุกท่านเลือกลงทุนในหุ้นโดยที่ไม่รู้จัก OPTIONS ก็ไม่ต่างอะไรกับการเลือกรถยนต์รุ่นเริ่มต้นที่ไม่มี OPTIONS เสริมใดๆเลย
เพราะ OPTIONS จะไปช่วยเสริมความต้องการของผู้ลงทุนทั้งในแง่ของ การเพิ่มผลตอบแทน ป้องกันความเสี่ยงจากการถือหุ้น เพิ่มช่องทางและโอกาสในการทำกำไร
แล้วทำไมผมจึงบอกว่า ลงทุนหุ้นนอก ต้องรู้จัก OPTIONS
ก็เพราะว่าในตลาดหุ้นไทยเรานั้นปัจจุบันมีหุ้นรายตัวอยู่หลายร้อยตัวแต่มี OPTIONS เพียงตัวเดียวเท่านั้น นั่นก็คือ SET 50 INDEX OPTIONS แต่สำหรับตลาดหุ้นต่างประเทศนั้นหุ้นชั้นนำส่วนใหญ่มี OPTIONS แทบจะทุกตัว
ยกตัวอย่างเช่นในตลาดหุ้นอเมริกาปัจจุบันนี้มีหุ้นในตลาดหลักมากกว่า 8พันกว่าบริษัท แล้วเป็นหุ้นที่มี OPTIONS มากกว่า 5พันกว่าบริษัท ซึ่งหุ้นชั้นนำของโลกมี OPTIONS แทบจะทุกตัว นั้นคือสิ่งที่บ่งบอกว่า OPTIONS นั้นมีความสำคัญมากต่อการทำกำไรในตลาดหุ้นต่างประเทศ
Warren Buffett นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จจากการลงทุนในตลาดหุ้น เคยทำกำไรได้มากกว่า 200ล้านบาทจาก
OPTIONS ในปี 1993 Warren Buffett ใช้ PUT OPTIONS ทำกำไรได้มากกว่า 7.5 ล้านดอลลาร์ในขณะที่รอให้หุ้น Coca-Cola ร่วงลง
ครั้งนั้นจึงทำให้นักลงทุนรายย่อยเห็นความสำคัญของการใช้ OPTIONS มากขึ้น จากในเหตุการณ์นี้ ผมเชื่อว่า พี่น้องนักลงทุนหลายท่านเคยเก็บเงินรอซื้อหุ้นที่ชอบในราคาที่ใช่
แต่แล้วผ่านไป 1เดือน 3เดือน 6 เดือน หรือ 1ปี หุ้นที่ชอบราคาก็ไม่เคยลงมาให้ซื้อเลย เงินที่เก็บรอไว้นั้นก็ไม่ได้สร้างรายได้ หรือ ผลตอบแทนให้กับเราเลย
แต่หากใช้ OPTIONS ในกลยุทธ์ที่ชื่อว่า NAKED PUT OPTIONS คุณก็จะสามารถทำกำไรได้ในระหว่างรอหุ้นที่ชอบร่วงลงมาราคาที่ใช่ โดยหลักการนี้ หากว่าหุ้นไม่ร่วงคุณจะได้ผลตอบแทนเป็น Premium หรือค่าเสียเวลารอหุ้นร่วงนั้นเอง แต่ถ้าหากหุ้นร่วงลงมาในราคาที่ใช่คุณก็จะได้ซื้อหุ้นนั้นในราคาที่กำหนดไว้โดยยังได้รับผลตอบแทนเป็น Premium เช่นกัน
อีกกลยุทธ์นึงที่น่าสนใจมากๆ เพราะผมเชื่อว่าพี่น้องนักลงทุนทุกท่านต้องเคยเจอเหตุการณ์นี้หลังซื้อหุ้นแน่นอน นั่นคือ “ติดดอย” หรือ ซื้อหุ้นที่ชอบแล้วราคาร่วง เพราะผมเองก็เคยเจอหลายครั้ง แต่ละท่านก็มีแนวทางในการแก้สถานการณ์ที่แตกต่างกันออกไป
หากมีทุนและมั่นใจว่าหุ้นที่ชอบนั้นราคาจะกลับขึ้นมา ก็ใช้วิธีซื้อ ถัว เข้าไป หรือ หากไม่มีทุน แต่ยังเชื่อว่าราคาหุ้นที่ชอบจะกลับขึ้นมาก็ อดทนรอ แต่ท่านที่เป็นสายเทรด สายเก็งกำไรอาจจะ ขาดตัดขาดทุนทิ้งไป
แต่ทุกท่านทราบไหมครับว่าในระหว่างที่เรา ติดดอย รอคอย ราคาหุ้นนั้นกลับมา จริงๆแล้วเราสามารถใช้ OPTIONS สร้างรายได้ให้กับเราได้ด้วย ไม่แน่กำไรที่ได้จาก OPTIONS จะพาเราลงดอยได้แม้ราคาหุ้นไม่กลับมา
กลยุทธ์นี้เรียกว่า COVERED CALL ทุกท่านจะได้รับค่า Premium ในระหว่างที่รอขายหุ้นในราคาที่ต้องการ สุดท้ายแล้วราคาหุ้นนั้นจะกลับขึ้นมาหรือไม่ ในระหว่างนี้เราจะได้กำไรจากค่า Premium แน่นอน
ตัวอย่างเช่น ผมได้ซื้อหุ้น TESLA ไว้ที่ราคา $300 หลังจากนั้น 3 เดือนปรากฎว่าราคาหุ้นร่วงลงมาที่ $250 แต่ผมยังมีความมั่นใจว่าราคาหุ้น TESLA จะกลับขึ้นมา
แทนที่เราจะปล่อยเวลาที่เสียเปล่าในระหว่างรอหุ้นขึ้นให้ทุกท่านไปใช้กลยุทธ์ COVERED CALL โดยเลือกราคาใช้สิทธิที่ $320 โดยกำหนดระยะเวลาไว้ที่ 3เดือน Premium อยู่ที่ $15
นั้นหมายความว่าถ้าครบกำหนดอายุสัญญาราคาหุ้น TESLA น้อยกว่า หรือเท่ากับ $300 เราจะได้รับ $15 หรือกำไรเทียบเท่า 5% ภายใน 3 เดือน
แล้วหุ้นก็ยังอยู่ในพอร์ตของเรา เราก็สามารถนำไปทำ COVERED CALL ต่อได้ แต่ถ้าหากกรณีครบ 3 เดือน ราคาหุ้นมากกว่า $320 เราต้องขายหุ้น TESLA ในราคา $320 สิ่งที่เราจะได้รับคือ ส่วนต่างของราคาหุ้น TESLA ที่เพิ่มขึ้นหุ้นละ $20 และ ยังได้รับค่า Premium อีก $15 จากในเหตุการณ์ทุกท่านจะพบว่าในระหว่างที่เราติดดอยอยู่นั้นสามารถ ทำกำไรได้มากกว่า $15 หรือ กำไรมากกว่า 5% ภายใน 3เดือน
จากทั้ง2ตัวอย่าง ทุกท่านจะเห็นว่า OPTIONS เสมือนตัวช่วยหรือส่วนเสริมส่วนขยายของตัวหุ้น
ใช่ครับอย่างที่ผมกล่าวไปในตอนต้นว่า OPTIONS คือส่วนขยายของตัวหุ้นอยู่ที่ว่าเราต้องการขยายส่วนใด เช่น ขยายผลกำไร ป้องกันความเสี่ยง เพิ่มโอกาสการทำกำไร
แต่ทั้งนี้ ผู้ลงทุนก็ต้องมีความรู้ความเข้าใจ ในกลยุทธ์ต่างๆของ OPTIONS และเลือกนำมาใช้ให้เหมาะสมในแต่ละสถานการณ์ การที่เราไปเล่นหุ้นต่างประเทศแล้วไม่รู้จัก OPTIONS เราก็เสียเปรียบ และ เสียโอกาสไปหลายส่วนมาก
2 กลยุทธ์ข้างต้นที่ผมกล่าวถึงนั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของหุ้นที่มี OPTIONS เท่านั้น แต่แน่นอนว่าการที่ทุกท่านจะสามารถนำ OPTIONS ไปใช้ทำกำไร เราก็ต้องความรู้และความเข้าใจที่ถูกต้อง เพราะ OPTIONS นับว่าเป็นเครื่องมือการลงทุนที่มีประสิทธิภาพสูง และ มีรายละเอียดที่ซับซ้อน
สุดท้ายนี้ พี่น้องนักลงทุนท่านใดที่ลงทุนหุ้นต่างประเทศ อย่าลืมวางแผนศึกษา OPTIONS ไว้ด้วยนะครับ ขอบคุณครับ
เขียนโดย ณัฐกฤษ อภิธนรัตน์