ในสภาวะที่ตลาดมีความผันผวนและความไม่แน่นอนสูง นักลงทุนหลายๆคนคงถอยออกจากตลาดหุ้นไปบางส่วน เพราะตลาดหุ้นไม่ได้น่าสนใจและให้ผลตอบแทนดีเหมือนในตลาดขาขึ้นแบบที่ผ่านๆมา แต่สิ่งที่หลายๆคนพลาดไปก็คือเมื่อตลาดหุ้นปรับตัวลงมานั้น หุ้นหลายๆตัวที่มีผลประกอบการที่ดี มีธุรกิจที่แข็งแกร่ง รวมถึงมีโอกาสเติบโตในอนาคตก็ถูกขายลงมา ตามสภาวะตลาดที่ไม่สดใสตามไปด้วย
ดังนั้นในส่วนนี้จึงเป็นโอกาสของนักลงทุนที่ทำการบ้านและวางแผนการลงทุนเอาไว้ เพราะเมื่อราคาหุ้นปรับตัวลงมา ก็จะไม่เกิดอาการตื่นตระหนก หรือหวาดกลัว ทำให้สามารถเข้าซื้อหรือลงทุนตามแผนที่วางไว้ได้ ในหุ้นรายตัวหรือกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้ผ่านการคัดกรอง หรือผ่านการวิเคราะห์มาแล้ว
แล้วคำถามต่อมาคือ หุ้นแบบไหนที่เราต้องให้ความสนใจในสภาวะตลาดที่ไม่มีความแน่นอนแบบนนี้?
ในเบื้องต้นผมขอจัดกลุ่มหุ้นที่มีความปลอดภัยเป็นประเภทดังนี้
1.หุ้นที่มีลักษณะธุรกิจผูกขาดหรือกึ่งผูกขาด
โดยหุ้นที่มีลักษณะธุรกิจที่จัดอยู่ในประเภทนี้ แม้ในระยะสั้นจะได้รับผลกระทบจากสภาวะตลาดที่ไม่สดใส แต่ในระยะกลางหรือระยะยาว ถ้าภาวะเศรษฐกิจไม่ได้ล่มสลายหุ้นที่มีลักษณะธุรกิจประเภทนี้โดยส่วนมากมักจะสามารถกลับมาได้เสมอ ถึงแม้ว่าผลประกอบการอาจจะไม่สามารถสร้างกำไรได้เหมือนในช่วงที่ดีที่สุด แต่ก็ทำให้เราสามารถวางแผนในการวางแผนในการเข้าซื้อตามระดับราคาต่างๆเพื่อสามารถแก้พอร์ทได้ไม่ยาก
2.หุ้นที่มีลักษณะธุรกิจเกี่ยวกับปัจจัย 5
เมื่อก่อนเราอาจถูกกำหนดให้มีปัจจัย 4 เพื่อใช้ในการดำรงค์ชีวิตนั่นก็คือ อาหาร ยา เครื่องนุ่งห่ม และที่อยู่อาศัย
ส่วนปัจจัย5ที่เพิ่มเข้ามา คงหนีไม่พ้นเกี่ยวกับการสื่อสาร ไม่ว่าจะเป็นแบบ Voice Call หรือ internet ก็ตามล้วนเป็นสิ่งที่มนุษย์ในยุคปัจจุบันไม่สามารถขาดแคลนได้
แต่หุ้นในกลุ่มธุรกิจนี้ถึงแม้ว่าจะเป็นปัจจัย 5 ของสังคมในสมัยนี้แต่เราต้องพิจารณาว่า สินค้าหรือบริการของธุรกิจนั้นๆมีโอกาสในการถูกซื้อหรือใช้บริการซ้ำ ในความจำเป็นหรือความถี่มากน้อยเพียงใด ถ้าให้ยกตัวอย่าง
อย่างกรณีของธุรกิจประเภทเครื่องนุ่งห่ม หรือ ที่อยู่อาศัยนั้น เมื่อเรามีแล้วถ้าเราอยากลดภาระค่าใช้จ่ายธุรกิจประเภทนี้จะมีความถี่ในการที่ลูกค้าจะมีความต้องการในการซื้อสินค้าลดลงอย่างแน่นอน เพราะเสื้อผ้าชุดเก่าก็สามารถใส่ได้ หรือแม้แต่ที่อยู่อาศัยก็ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนทุกปีเหมือน Iphone
แต่กลับกันอย่างธุรกิจของ อาหาร ยารักษาโรค รวมถึงธุรกิจสื่อสารนั้น เรามีความจำเป็นในการที่ต้องซื้อหรือใช้บริการอย่างสม่ำเสมอ และต่อเนื่องจนกว่าจะมีอะไรมาทดแทนในส่วนเหล่านี้ได้ ดังนั้นถึงแม้จะเรียกรวม ๆ ว่า ปัจจัย 5 แต่ถ้าเรามองลึกลงไปในรายละเอียดก็อาจมีความแตกต่างกันไปตามรูปแบบธุรกิจ
3.หุ้นที่มีความสามารถอยู่รอดได้ในระยะยาว
นอกจากจะมีรุปแบบธุรกิจที่ดีแล้ว กิจการเหล่านั้นต้องมีความสามารถในการอยู่รอดได้ในระยะยาวไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ สภาพคล่อง หนี้สิน หรือแม้แต่การที่กิจการมีโอกาสถูก Disrupt ได้ในอนาคต เพราะถึงแม้ว่าวันนี้ยังสดใส กิจการยังสามารถสร้างผลกำไรให้ผู้ถือหุ้นได้ แต่ถ้ากิจการไม่สามารถอยู่รอดได้ในระยะยาว การลงทุนของเราก็จะไม่มีความหมายเพราะเงินลงทุนเหล่านั้นที่ได้ลงทุนไปก็อาจหนีไม่พ้นที่ต้องเผชิญกับความเสียหายได้ในที่สุด
4.หุ้นที่มีการจ่ายเงินปันผลในอัตราสูง หรือ High Dividend Yiled
ในสภาวะที่ตลาดไม่มีความแน่นอน นักลงทุนหลายๆคนมักจะนำเงินลงทุนมาหลบภัยในหุ้นปันผลสูง เพราะมองว่าในราคาที่ปรับตัวลงมาจะส่งผลให้การลงทุนครั้งนั้น สามารถสร้างผลตอบแทนจากเงินปันผลได้สูงขึ้น ซึ่งแนวคิดแบบนี้ไม่ใช่เรื่องที่ผิดอะไรแต่ ในทางกลับกันเมื่อเราย้อนกลับไปอ่านข้อ 1-3 แล้วหุ้นปันผลที่เราสนใจไม่ได้เข้าเงื่อนไขในการอยู่รอดอะไรเลย สุดท้ายกิจการที่เคยมีกำไร สามารถจ่ายปันผลได้ในอัตราที่สูง ก็จะไม่สามาถจ่ายปันผลได้เท่าเดิม และในกรณีที่เลวร้ายอาจเปลี่ยนจากกำไรเป็นขาดทุนได้ ซึ่งก็เคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้ง
เมื่อเกิดความไม่แน่นอนในตลาดหุ้น นอกจากที่เราจะพิจารณาถึงผลตอบแทนที่เราคาดหวังว่าจะได้รับจากการลงทุนแล้ว เราควรพิจารณาถึงความเสี่ยงในการลงทุนครั้งนั้นๆด้วย เพราะหากไม่พิจารณาถึงความเสี่ยงแล้ว ท้ายที่สุดเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่เราคาดการณ์หรือไม่ได้คาดการณ์ไว้เกิดขึ้น เราจะไม่มีความพร้อมหรือไม่มีวิธีการรับมือ จนสุดท้ายส่งผลให้เกิดความเสียหายที่เกินควบคุมกับพอร์ตการลงทุนของเราเอง
เขียนโดย: ว่าที่ ร.ต. ธนวัฒน์ เมธวินภาณุวัชร์