ภาพรวมหุ้น “ปตท.” ฟื้นตัวกว่า 50% จากราคาดิ่งเหวช่วงโควิด-19ระบาดในประเทศ แต่โอกาสแต่จุดสูงสุดเดิม 47 บาทยังต้องลุ้นหนัก เหตุผลกระทบจากสงครามราคาน้ำมัน และโรคระบาด กดดันผลประกอบการหดตัว คาดลดลงกว่า27% เหลือกำไร 6 หมื่นล้านบาท แม้ครึ่งปีหลังราคาน้ำมันฟื้นตัว ดัน OR เข้าตลาดหุ้น ส่วนหลายแผนการลงทุนระยะยาวยังเดินหน้าต่อ แม้ปรับลดงบบางส่วนงาน
แม้จะยังไม่สามารถ ทะลุขึ้นไปยืนเหนือ 40.00 บาทต่อหุ้นได้อย่างชัดเจน แต่ราคาหุ้น บริษัท ปตท จำกัด (มหาชน) (PTT) ในเวลานี้ ก็สามารถสร้างผลกำไรให้แก่ผู้ที่ซื้อหุ้นของบริษัทในช่วงที่ต่ำสุดในรอบปีที่ระดับ 25.75 บาทต่อหุ้น (วันที่ 19มี.ค.2563) เกือบ 14.00 บาทต่อหุ้น หรือกว่า 55% อย่างไรก็ตามราคาหุ้น PTT ในปัจจุบันถือว่ายังต่ำกว่าช่วงต้นปี 2563 เมื่อวันที่ 7มกราคม ซึ่งอยู่ที่ระดับ 47.25 บาทต่อหุ้น และมีท่าทีว่าโอกาสที่จะกลับไป ณ จุดสูงสุดเดิมของปีนี้ น่าจะเป็นเรื่องที่ปาดเหงื่อพอสมควร ยิ่งการทุบสถิติปี 2562 ที่ระดับ 49.75 บาทต่อหุ้น หลายฝ่ายมองว่ายากเต็มที
สิ่งที่ทำให้ราคาหุ้น“ปตท.” มาเคลื่อนไหวอยู่บริเวณนี้ แน่นอนมาจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดต่ำลงมาก ซึ่งมีต้นสายปลายเหตุมาจากกรณีซาอุดีอาระเบียประกาศเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน และลดราคาจำหน่ายน้ำมันในเอเชีย หลังโต๊ะเจรจาในเวทีโอเปกล่ม เมื่อรัสเซียไม่เห็นด้วยกับการพยุงราคาน้ำมันด้วยการลดกำลังผลิตลง 2% หรือ 1.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน จนเป็นสัญญาณเริ่มต้นของการทำสงครามราคาน้ำมันในกลุ่มประเทศผู้ผลิตรายใหญ่ นำไปสู่แรงกดดันให้ราคาหุ้นในกลุ่มพลังงานปรับลดลงแรงในช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
ขณะเดียวกันอีกปัจจัยที่กดดันให้อุปสงค์และอุปทานการบริโภคน้ำมันทั่วโลกเป๋ไปจากเดิมนั่นคือ การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส โควิด-19 ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ทั่วโลก แม้ในประเทศสถานการณ์จะเงียบสงบมาร่วม 2 เดือน (ไม่นับการการ์ดตกของผู้มีอำนาจ) ซึ่งจากผลดำเนินงานไตรมาส 1/63 เห็นได้ชัดเจนว่า ทั้ง 2 ปัจจัยลบที่กล่าวมากระทบกับการดำเนินธุรกิจของ “ปตท.” จนต้องรายงานขาดทุนสุทธิในไตรมาสที่ 1/63 อยู่ที่ 1.5 พันล้านบาท เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ไตรมาสที่ 3/58 เนื่องจากรับรู้ผลขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน และธุรกิจก๊าซที่อ่อนตัวลง
เดินเกมส์ปรับตัวต่อเนื่อง
แต่ด้วยการเป็นบริษัทพลังงานแห่งชาติซึ่งต้องจัดหาพลังงาน โดยเฉพาะด้านปิโตรเลียมให้เพียงพอต่อความต้องการบริโภคทั้งประเทศ “ปตท.” ไม่เคยหยุดดำเนินงานหรือชะลอแผนการลงทุนโครงการใหม่ๆ แม้จะได้รับกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยบริษัทและบริษัทในเครือยังเดินหน้าแผนธุรกิจในหลายด้าน เพื่อขับเคลื่อนองค์กรไปในทิศทางที่วางแผนไว้ เห็นได้จาก เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา CEO คนใหม่ขององค์กร “อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ PTT ออกมาแสดงความเห็นถึงทิศทางธุรกิจของบริษัทว่า แนวโน้มการดำเนินงานในปีนี้ คาดว่ายอดขายจะลดลงตามราคาน้ำมัน แต่เชื่อว่าจะสามารถขับเคลื่อนองค์กรให้ผ่านพ้นวิกฤติดังกล่าวไปได้
โดยภารกิจ ปตท.ยังคงต้องรักษาความเข้มแข็งของธุรกิจหลักและสร้างธุรกิจใหม่แทนที่การเติบโตในรูปแบบเดิม ซึ่งมุ่งหวังที่จะให้กลุ่ม ปตท. เป็นองค์กรด้านพลังงานของประเทศ และเป็นแรงขับเคลื่อนประเทศไทยให้ก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลง โดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมสู่ทุกภาคส่วน นั่นทำให้ ปตท.ได้ทบทวนแผนงานเพื่อรองรับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการระบาดของโควิด -19 โดยดำเนินการปรับลดเงินลงทุนปี 2563 ราว 1.5 หมื่น และตัดลดค่าใช้จ่ายดำเนินงาน 5 พันล้านบาท ส่วนโครงการลงทุนระยะยาวที่จำเป็นต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปตท.ยังดำเนินการต่อเนื่อง อาทิ โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ซึ่งล่าสุด ปตท.ก็ได้เสนอตัวเป็นผู้จำหน่ายน้ำมันในพื้นที่สนามบินอู่ตะเภา หลังจากได้ร่วมทุนกับพันธมิตรลงทุนโครงการท่าเทียบเรือมาบตาพุด เฟส 3 และโครงการท่าเทียบเรือแหลมฉบัง เฟส 3
ขณะเดียวกัน ปตท.ได้เตรียมแผนออกหุ้นกู้ 6.4 หมื่นล้านบาท หลังจากได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นแล้ว ซึ่ง จะนำมาเสริมสภาพคล่อง และรีไฟแนนซ์หนี้ที่จะครบกำหนด โดยบริษัท มีกรอบที่ขออนุมัติผู้ถือหุ้นไว้ 1.5 แสนล้านบาท และล่าสุด เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม บริษัทได้ดำเนินการออกและเสนอขายหุ้นกู้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ประเภทไม่ด้อยสิทธิและไม่มีหลักประกัน ต่อผู้ลงทุนในต่างประเทศ อายุ 50 ปี จำนวน 700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.70% ต่อปี
ไม่เพียงเท่านี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างร่วมมือกับ บริษัท พีทีที แทงค์ เทอร์มินัล เตรียมจัดทำ Solution Provider นำเสนอให้กับลูกค้าอุตสาหกรรมก๊าซฯ ซึ่งจะเป็นการช่วยขยายผลการขายเม็ดพลาสติก ชนิด ส่วนการพัฒนาที่ดินของบริษัทนั้น ปัจจุบันมีที่ดิน รวม 12,000 ไร่กระจายอยู่ทั่วประเทศ ส่วนใหญ่ประมาณ 9,000 ไร่ อยู่ในจ.ระยอง ซึ่งเป็นพื้นที่เขตประกอบการอุตสาหกรรมไออาร์พีซี ต.เชิงเนิน มีประมาณ 6,000 ไร่ และยังมีพื้นที่เหลืออีก 1,000 ไร่ สำหรับรองรับขยายการลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (ECC) ได้ 5 ปีข้างหน้า ส่วนอีก 2,000 ไร่ อยู่ในอ.บ้านค่าย ซึ่งได้พัฒนาพื้นที่เป็นนิคมอุตสาหกรรมร่วมกับ บมจ.ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น (WHA) ขณะที่ยังมีพื้นที่ราว 2,000 ไร่ ในอ.จะนะ จ.สงขลา ซึ่งยังรอการพิจารณาโครงการส่งเสริมการลงทุนต่าง ๆ ของภาครัฐที่อาจจะเกิดขึ้นในพื้นที่ดังกล่าว
ส่วนงบลงทุนครึ่งปีหลัง 2563 (ก.ค.-ธ.ค. 63) ของ กลุ่ม ปตท. ได้ตั้งไว้ที่ 1.48 แสนล้านบาท เพื่อรองรับการลงทุนที่สำคัญ ได้แก่ โครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติเส้นที่ 5 โครงการเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) นอกจากนี้ยังมีแผนงานของ บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ PTTOR ,โครงการก่อสร้างท่าเทียบเรือและสถานีรับ-จ่ายก๊าซ ธรรมชาติเหลว หนองแฟบ (Nong Fab LNG Receiving Terminal Project) โครงการเอส 1, โครงการอาทิตย์, โครงการพลังงานสะอาด (Clean Fuel Project: CFP) และโครงการปรับปรุงกระบวนการผลิตโอเลฟินส์ (ORP: Olefins Reconfiguration Project) ส่วนแผนการลงทุนของปี 2564 จะมีการทบทวนมูลค่าการลงทุนใหม่ในช่วงกลางเดือนกันยายนนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน
ยอดขายลดแต่พร้อมปันผล
ด้านผลประกอบการ ไตรมาส 2/63 ผู้บริหาร PTT คาดว่าจะฟื้นตัวดีขึ้น หลังจากได้รับผลกระทบไปในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน 2563 และคาดว่าจะขาดทุนสต๊อกน้ำมันลดลง (Stock Loss) จากช่วงไตรมาส 1/63 ที่ขาดทุนสต๊อกน้ำมัน 1.9 หมื่นล้านบาท หลังราคาน้ำมันฟื้นตัวขึ้นโดยคาดว่าราคาน้ำมันครึ่งปีหลังจะเคลื่อนไหวที่ 40-45 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ 40 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ขณะที่ทั้งปีบริษัทคาดว่ายอดขายทั้งกลุ่มจะลดลง 10% ซึ่งเป็นประมาณการแบบ Conservative โดยมองว่าธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม ปริมาณขายจะลดลง 7-8% ส่วนธุรกิจเทรดดิ้งยอดขายจะลดลง 5% ขณะที่ธุรกิจโรงไฟฟ้าคาดว่ารายได้จะลดลง 1-2% ส่วนธุรกิจปิโตรเคมีและโรงกลั่นน้ำมันคาดว่าอัตราการใช้กำลังการผลิต (Utilization) จะลดลง 10-20% อย่างไรก็ตามคาดว่าทุกธุรกิจจะฟื้นตัวดีขึ้นในครึ่งปีหลัง จากกิจกรรมการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งการท่องเที่ยว การส่งออก เชื่อว่าปริมาณการใช้น้ำมันจะดีขึ้น
ทั้งนี้ ในงานประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2563 บริษัทเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ผู้บริหาร PTT คาดว่าผลการดำเนินงานปตท.ในปี 2563 กำไรสุทธิจะต่ำกว่าปี 2562 ที่มีกำไรสุทธิ 9.29 หมื่นล้านบาท หลังจากได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ โควิด-19 และสงครามราคาน้ำมัน แต่ยืนยันว่าจะยังมีการจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นอย่างแน่นอน โดยปี2562 ปตท.มีการจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 2 บาทหรือคิดเป็น 63% ของกำไรสุทธิ
ไม่เพียงเท่านี้ คณะกรรมการ ปตท.ได้มอบนโยบายหลักให้ฝ่ายบริหาร คือการรักษาสภาพคล่องและอันดับเครดิตไม่ให้ลดลงเพื่อไม่ให้ต้นทุนทางสูงขึ้น ดังนั้นการจ่ายปันผลต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ โดยพิจารณาด้านการลงทุน ซึ่งได้มีการการลงทุนบางโครงการออกไปก่อน ส่วนโครงการที่มีความจำเป็นก็ยังคงเดินหน้าต่อไป ซึ่งมั่นใจว่าจะไม่กระทบเครดิตเรทติ้ง และสภาพคล่องเพียงพอ
“ ธุรกิจของ ปตท.แตกต่างจากธุรกิจธนาคารพาณิชย์ ดังนั้นการจ่ายเงินปันผลของปตท.ต้องพิจารณาเรื่องการลงทุน การรักษาสภาพคล่อง และเครดิต ต่างจากแบงก์พาณิชย์หากมีการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล จะกระทบต่อเงินกองทุนซึ่งจะมีผลต่อความสามารถในการปล่อยสินเชื่อ ซึ่งรัฐต้องการให้แบงก์มีความสามารถในการปล่อยสินเชื่อเพื่อไม่กระทบต่อภาคธุรกิจได้ จึงทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)ขอให้แบงก์พาณิชย์งดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในงวดปี 63 ส่วนปตท.จะมีการจ่ายปันผลระหว่างกาลหรือไม่ต้องรอดูผลการดำเนินงานช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ก่อน”
ส่วนความคืบหน้าการนำ บริษัทปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) (OR) ระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯนั้น คงต้องพิจารณาภาวะตลาดด้วย หากภาวะตลาดหุ้นดี ได้ราคาหุ้นดีก็พร้อมที่จะเสนอขาย เพราะการขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไป (IPO) เท่ากับเป็นการลดสัดส่วนการเป็นเจ้าของ โดยปตท.ยังมีเวลาในการขายหุ้นIPO ราว 1ปีภายหลังจากที่คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) อนุมัติแล้ว
มุมมองต่อทิศทางธุรกิจ PTT
บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเชีย เวลท์ จำกัด คาดว่าผลประกอบการไตรมาส 2/63 ของ PTT จะพลิกเป็นกำไร จากผลกระทบของ Stock Loss และการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ลดลง จากราคาน้ำมันดิบที่ Down-Side เริ่มจำกัด โดย ๕๕ คาดหมายจะเห็นผลประกอบการกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่นฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญ จากมาตรการผ่อนคลาย ล็อกดาวน์เมืองในช่วงพฤษภาคม-มิถุนายน จะทำให้เศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัว เป็นปัจจัยบวกต่อความต้องการใช้เชื้อเพลิง (ก๊าซ และน้ำมัน) ในประเทศ อย่างไรก็ตามผลกระทบที่เกิดจากโควิด-19 คาดกำไรสุทธิปี 2563 เหลือ 6.76 หมื่นล้านบาท ลดลง 27.3% จากปีก่อน โดยราคาเป้าหมายเหลือ 42 บาท (เดิม 52 บาท) ซึ่ง ซึ่งมองว่าผลกระทบในช่วงที่เหลือของปี 2563 ค่อนข้างจำกัด
ขณะที่ บล. หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด คาดผลประกอบการของ PTT จะเริ่มน่าสนใจขึ้นช่วงครึ่งปีหลัง 2563 เช่นกัน เนื่องจาก PTT จะได้ประโยชน์จากราคาขายที่ขยับขึ้นตามราคาน้ำมันในตลาดโลก สวนทางต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่ลดลงจากการปรับสัญญาราคาก๊าซให้สะท้อนภาวะตลาดมากขึ้น (มี Lag-Time จากราคาน้ำมัน 6-12 เดือน) และแผน Spin Off ธุรกิจค้าปลีก ประเมินราคาเหมาะสม 40.00 บาท โดยแนะนำหาจังหวะเข้าลงทุนเมื่อหุ้นอ่อนตัวหลังผ่านงบไตรมาส 2/63
ด้านบล.ทรีนีตี้ จำกัดรายงานว่า ก.ล.ต. คาดว่าจะพิจารณาคำขออนุญาตให้บมจ.ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก (OR) เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) และเข้าจดทะเบียนซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ได้ภายในไตรมาส 3/63 นั้นถือเป็นมุมมองเชิงบวก เพราะเป็นไปตามที่บริษัทและตลาดคาดไว้ว่า OR จะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ภายในช่วงครึ่งปีหลังนี้ และจะช่วยเป็น Sentiment บวกให้กับ PTT ได้ เพราะผู้ที่ถือหุ้น PTT จะได้สิทธิในการซื้อหุ้น OR ด้วย โดยจะมีการจัดสรรหุ้นให้ผู้ถือหุ้น PTT ไม่เกิน 300 ล้านหุ้น
นอกจากนี้มองว่า การได้เงินเพิ่มทุนของ OR จะช่วยให้ OR สามารถขยายศักยภาพเพิ่มมากขึ้นมากกว่าเป็นแค่สถานีบริการน้ำมัน แต่จะขยายเป็น community mall ขนาดย่อมๆได้ ซึ่งกลุ่มสินค้าเหล่านี้ให้ Margin ที่สูงกว่าการให้บริการน้ำมัน ดังนั้นเชื่อว่าการ IPO ของ OR ในครั้งนี้จะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับ PTT ในอนาคต จึงยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” PTT ราคาเป้าหมาย 42.00 บาท
สำหรับ บล.โนมูระ พัฒนสิน ออกบทวิเคราะห์ปรับคำแนะนำกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี เป็น BULLISH จากเดิม NEUTRAL โดยคาดว่าจะเห็นดีมานด์ส่วนเกินตั้งแต่ช่วงมิถุนายน 2563 เป็นต้นไป ส่งให้แนวโน้มการฟื้นตัวของกำไรกลุ่มเร็วและดีขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 2/63 และจะฟื้นตัวดีต่อในครึ่งปีหลังถึงปี 2564 จึงเลือก PTT และ PTTEP เป็น Top Pick สำหรับช่วงครึ่งปีหลัง 2563 โดย PTT เด่นจากอัตรากำไรที่ฟื้นตัวตั้งแต่ครึ่งปีหลังต่อเนื่องถึง 2563 และมีปันผลเด่นสุดในกลุ่ม ส่วน PTTEP ได้รับแรงหนุนจากราคาน้ำมันดิบฟื้นตัว คาดกลับมาฟื้นตัวเด่นในปี 2564
หากสนใจเปิดพอร์ตตลาดหุ้นไทย
สำหรับนักลงทุนที่สนใจเปิดพอร์ตตลาดหุ้นไทยกับ KTBST ขอคำปรึกษาได้ ที่นี่ เพราะ KTBST มีค่าธรรมเนียมต่ำ เป็น “ สถาบันการเงิน ” ในประเทศไทยที่มีความโดดเด่นในการให้บริการลูกค้า นอกจากนั้นยังเป็นตัวช่วยให้ผู้ถือหุ้น “เติบโตอย่างยั่งยืน” และมีส่วนช่วยสังคมในการ “ พัฒนาตลาดทุน ”
การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน
ที่มา
https://mgronline.com/stockmarket/detail/9630000076658
#CISThai
Line Official: https://lin.ee/jO65rNq
Website: https://connectthedotsth.com/
FB Fanpage: https://www.facebook.com/CreativeInvestmentSpace