จากข่าวล่าสุดเกี่ยวกับ สไปรท์ ศุกลวัฒน์ พวงสมบัติ แร็ปเปอร์หนุ่มเจ้าของเพลง “ทน” ที่มียอดวิวกว่า 420 ล้านครั้งบน YouTube และเคยขึ้นชาร์ต Billboard Global ถูกฟ้องจากต้นสังกัดเก่าเป็นเงินถึง 14 ล้านจากการละเมิดสัญญา ลองมาทำความเข้าใจในรายละเอียดเรื่องเงินกันว่าทำไมสไปรท์ถึงถูกฟ้อง
ต้นสังกัดเก่าของสไปรท์อ้างว่า “ผิดสัญญาว่าจ้างศิลปิน” ด้วยการไปโชว์รายการต่าง ๆ รวมถึงทำเพลงกับค่ายใหม่จนโด่งดัง จึงเรียกค่าเสียหาย 14 ล้านบาท เป็นเงินที่ค่ายควรจะได้จากส่วนแบ่งรายได้เป็นผลประโยชน์ที่ค่ายควรได้รับตามสัญญา
ตามที่ทนายเจมส์ ทนายของสไปรท์และครอบครัวได้เปิดเผย ค่ายเก่าอ้างว่าตามสัญญาสไปรท์ต้องแบ่งรายได้ 70% ให้กับทางค่าย ซึ่งสไปรท์จะได้ 20,000 จากยอดวิว 1 ล้านครั้ง นั่นเท่ากับว่าหากผลประโยชน์ที่ค่ายเก่าควรได้รับตามสัญญามากถึง 14 ล้านบาทจริง สไปรท์จะต้องมียอดวิวจากผลงานรวมไม่น้อยกว่า 2,000 ล้านครั้ง แต่ในความเป็นจริงนั้นไม่ถึง
แต่ทางทนายโจทก์ก็ได้ออกมาชี้แจงใหม่เป็นการคำนวนจากทุกช่องที่สไปรท์เคยไปโชว์ รวมได้กว่า 800 ล้านวิว และคำนวณด้วยสูตรใดก็ไม่ทราบ แต่ได้ออกมาเป็นมูลค่าราว 13 ล้านเศษ จึงได้ยื่นเรียกค่าเสียหายรวม 14 ล้านบาท
หลังจากการไกล่เกลี่ยในวันที่ 17 มิถุนายน ทางค่ายได้มีการลดค่าเสียหายที่เรียกไปลง 50% เหลือ 7 ล้านบาท แต่ทางครอบครัวยังมองว่าไม่เป็นธรรมอยู่ดี เพราะรายได้ไม่ได้เข้ามาที่สไปรท์และครอบครัวโดยตรง แต่เข้าผ่านทางค่ายปัจจุบันและช่องต่าง ๆ ที่สไปรท์ไปโชว์ รวมทั้งที่ผ่านมาสไปรท์ก็ผลักดันตัวเองโดยที่ค่ายเก่าไม่ได้ให้การสนับสนุนเลยนอกจากค่าน้ำมันเล็กน้อย หากจะเรียกค่าเสียหายจริง ก็อาจเรียกได้แค่ในส่วนที่เป็นรายได้ของสไปรท์โดยตรงเท่านั้น
ทั้งนี้ประเด็นชี้ขาดของคดีนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าค่ายเรียกมาเท่าไร หรือเรียกกับใคร แต่เป็นเรื่องของ “การยกเลิกสัญญา” ที่จะตัดสินว่าจริง ๆ แล้วสไปรท์ต้องจ่ายชดเชยให้ต้นสังกัดเดิมหรือไม่
ด้านคุณพ่อของสไปรท์บอกว่า ได้มีการยกเลิกสัญญากับทางค่ายไปแล้ว ตั้งแต่ปี 2562 ซึ่งทางทนายเจมส์ก็บอกว่าจากข้อเท็จจริงที่ได้สืบมาคือทั้งสองฝ่ายได้บอกเลิกสัญญาแล้วจริง โดยเป็นการ “บอกเลิกสัญญาโดยปริยาย” แต่ฝั่งค่ายเก่ามองว่าสัญญายังมีผลอยู่ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ตอนที่สไปรท์ไปขึ้นโชว์ หรือทำผลงานต่าง ๆ ออกมาก็ไม่ได้มีการทักท้วงแต่อย่างใด
ส่วนในฝั่งค่ายปัจจุบันอย่าง Hype Train ไม่ได้มีการเซ็นสัญญากับสไปรท์ ทนายเจมส์ได้สอบถามถึงเหตุผลและได้คำตอบว่า “ค่ายเราก็มีแค่ ใจ สัญญาจะมีไว้ทำไม ถ้าใจของเขาไม่ได้อยู่กับเรา” สื่อถึงการเป็นที่พึ่งแต่ไม่ได้ผูกมัดกับตัวศิลปิน
ซึ่งในส่วนของการพิจารณาว่าสัญญาเดิมกับค่ายเก่ายังมีผลอยู่หรือไม่นั้น ทนายเจมส์บอกว่าขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของศาล และจะมีการนัดสืบพยานต่อไปอีกสองนัด
แม้ว่าตัวเลขค่าเสียหายที่เรียกร้องมาจะสูงจนอาจทำให้แฟน ๆ ของสไปรท์ใจเสีย แต่จริง ๆ แล้วแนวโน้มของคดีอาจไม่ได้น่ากังวลนัก ทนายเดชา ทนายชื่อดังผู้ทำคดีให้ศิลปินมาแล้วหลายคดี รวมถึงคดีของคุณหนุ่มกะลาและคุณจูนด้วย ได้ออกมาให้ความเห็นว่าคดีแบบนี้ “ส่วนใหญ่ถอนฟ้อง หรือไม่ก็ยกฟ้อง เพราะเป็นสัญญาที่ไม่เป็นธรรม” และเรียกสัญญาลักษณะนี้ว่าเป็น “สัญญาทาส” เชื่อว่าต่อสู้คดีได้ไม่ยาก
สุดท้ายนี้ผลของคดีจะออกมาเป็นอย่างไรต้องติดตามกันต่อไป แต่เราเชื่อว่าคงได้เห็นบทสรุปในเร็ววัน