ล่าสุด Forbes Thailand ได้มีการจัดอันดับ 50 มหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในประเทศไทย ประจำปี 2567 ซึ่งในหลายอันดับก็มีการเปลี่ยนแปลงรวมทั้งในอันดับที่ 1 ด้วย จากเดิมที่ “พี่น้องเจียรวนนท์” ครองตำแหน่งนี้มานานหลายปี ในที่สุดปีนี้ก็ถูกโค่นลงโดย “เฉลิม อยู่วิทยา” จากอาณาจักรกระทิงแดง และ Red Bull ด้วยทรัพย์สินรวมกว่า 1.32 ล้านล้านบาท
ความมั่งคั่งของเขาสั่งสมมาอย่างไร ธุรกิจเติบโตอย่างไร รวมถึงชิงตำแหน่งมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งได้อย่างไร ติดตามได้ในบทความนี้
คุณเฉลิมคือทายาทตระกูลอยู่วิทยา เป็นลูกชายของผู้ให้กำเนิดกระทิงแดงอย่าง ‘เฉลียว อยู่วิทยา’ ภายใต้การดำเนินการของ ‘หจก. ที.ซี.ฟาร์มาซูติคอล’ ซึ่งหลังจากตีตลาดในไทยได้สำเร็จด้วยรสชาติที่ดีกว่าเครื่องดื่มชูกำลังอื่น ๆ ในตลาดช่วงนั้น ก็ได้ต่อยอดขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ โดยเริ่มที่สิงคโปร์ ในปี 2521 ในชื่อแปลภาษาอังกฤษตรง ๆ อย่าง ‘Red Bull’ แต่ยังไม่ใช่ Red Bull เดียวกับที่เรารู้จักในปัจจุบัน
จนกระทั่ง ‘ดีทริช เมเทสซิทซ์ (Dietrich Mateschitz)’ นักการตลาดชาวออสเตรียมีโอกาสเดินทางมายังประเทศไทย และพอได้ลองเครื่องดื่มกระทิงแดงก็หายจากอาการเจ็ตแล็กเป็นปลิดทิ้ง และเห็นว่าในยุโรปยังไม่มีเครื่องดื่มประเภทนี้มากนัก จึงสนใจนำกระทิงแดงไปทำตลาดในโซนยุโรป และได้ร่วมทุนกับคุณเฉลียว ก่อตั้ง บริษัท เรดบูล จีเอ็มบีเอช (Red Bull GmbH) ในปี 2527 เพื่อจำหน่ายเครื่องดื่ม Red Bull ในกว่า 70 ประเทศทั่วโลกในตอนนั้น
โดยคุณเฉลียวถือหุ้น 49% คุณดีทริชถือ 49% และอีก 2% เป็นของคุณเฉลิม และหลังจากที่คุณเฉลียวเสียชีวิตในปี 2555 คุณเฉลิมก็เข้ามาถือหุ้นของ Red Bull รวม 51% นั่นทำให้เราอาจพอพูดได้ว่า Red Bull เป็นแบรนด์สายเลือดไทยที่ได้สัญชาติออสเตรีย
ในตอนแรกที่ Red Bull ทดลองตลาดฝั่งยุโรป เขาพบว่ารสชาติมันยังไม่โดนใจคนฝั่งนั้นนัก ทั้งกินแล้วยังรู้สึกเหนียวคออีกด้วย ภายหลังจึงได้ปรับสูตรแก้รสชาติ เพิ่มโซดาเข้าไปให้ดื่มง่ายขึ้น และกลายเป็นที่นิยมหลังออกจำหน่ายในปี 2530
สิ่งที่หลายคนสับสนคือ กระทิงแดง กับ Red Bull ว่าสรุปแล้วมันแบรนด์เดียวกันไหม คำตอบก็คือ “ไม่” แม้จะมีต้นกำเนิดมาจากคุณเฉลียวเหมือนกัน แต่ทั้งสองแบรนด์จัดว่าเป็นคนละแบรนด์ มีตลาดและกลุ่มลูกค้าต่างกัน และดำเนินการโดยคนละบริษัท
กระทิงแดงผลิตและจัดจำหน่ายโดยกลุ่มธุรกิจ TCP ซึ่งมี ‘สราวุฒิ อยู่วิทยา’ พี่น้องต่างแม่ของคุณเฉลิม เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เน้นกลุ่มผู้ซื้อที่มีกำลังซื้อต่ำกว่า เพราะมีราคาที่ไม่สูงนัก เน้นผู้ใช้แรงงานหรือพนักงานที่ต้องการแรงฮึดเพื่อลุยงานต่อ เน้นขายในไทยและโซนเอเชีย ซึ่งนอกจากนี้กลุ่มธุรกิจ TCP ยังมีสินค้าในเครืออีกมาก ทั้ง Red Bull (เวอร์ชันของไทย) Ready เครื่องดื่มเกลือแร่ Sponsor เครื่องดื่ม Man Some ฯลฯ
ส่วน Red Bull GmbH ที่อยู่ในมือของคุณเฉลิม และหุ้นส่วนต่างประเทศ เน้นการทำตลาดโลกและฝั่งยุโรป เจาะกลุ่มนักกีฬาเอ็กซ์ตรีม และกลุ่มวัยรุ่นมากกว่า และราคาก็สูงกว่าผลิตภัณฑ์ของกระทิงแดงหลายเท่า ซึ่งราคาจำหน่ายในไทยของ Red Bull อยู่ที่ 69 บาทเลย ในขณะที่กระทิงแดงขายขวดละ 12 บาท และ Red Bull (TCP) กระป๋องละ 15-20 บาท
ในปัจจุบันนี้ Red Bull จัดเป็นเครื่องดื่มชูกำลังที่ขายดีที่สุดในโลก ปีล่าสุด 2023 ขายไปแล้วกว่า 12,138 ล้านกระป๋อง กวาดรายได้ไปกว่า 10,554 ล้านยูโร หรือกว่า 417,432 ล้านบาท เติบโต 9% จากปี 2022 เป็นปีแรกที่ทำรายได้แตะ 10,000 ล้านยูโร
ด้วยการที่คุณเฉลิมรับหุ้นในส่วนของคุณพ่อมาถือต่อด้วย ทำให้รวมแล้วคุณเฉลิมถือหุ้น Red Bull อยู่ 51% เมื่อยอดขายเติบโตมากขนาดนี้ ก็ยิ่งได้รับปันผลมาก และความมั่งคั่งก็เติบโตมากขึ้นด้วย นั่นจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้คุณเฉลิมก้าวขึ้นมาเป็นมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของไทยได้ในปีนี้
นอกจากเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ Red Bull คุณเฉลิมยังเป็นผู้ก่อตั้ง ‘สยาม ไวเนอรี่’ ซึ่งผลิตและจำหน่าย ‘สปาย ไวน์คูลเลอร์’ ที่ขายดีกว่า 180 ล้านขวดต่อปี และ ‘มอนซูน แวลลี่ย์’ ซึ่งได้รับการกล่าวขานว่าเป็น “New Latitude Wines” ซึ่งได้รับการยอมรับในระดับสากล จนกลายเป็นผู้ผลิตไวน์แถวหน้าในเอเชียด้วย และนอกจากธุรกิจเครื่องดื่มแล้ว คุณเฉลิมยังถือหุ้นและบริหารงานในอีกหลายบริษัท ซึ่งล้วนส่งผลต่อความสำเร็จของเขาในฐานะมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของไทย