ท่ามกลางความผันผวนในตลาดหุ้นไทย ที่เกิดจากปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ยังมีปัญหาภายในที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน ไม่ว่าจะเป็น Short Sell และ Program Trading รวมไปถึงกรณี MORE และ STARK ที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง ทำให้ตลาดฯ ต้องตื่นขึ้นมาปรับปรุงกฎเกณฑ์ต่าง ๆ มากมาย เพื่อเรียกความเชื่อมั่นกลับคืนมา มีบางมาตรการบังคับใช้แล้ว และอีกหลายมาตรการจะเริ่มใช้กลางปีนี้ โดยมีมาตรการสำคัญ ๆ ดังนี้
1. มาตรการกำกับดูแลการขายชอร์ต (Short Sell)
เพื่อให้ผู้ลงทุนมีข้อมูลประกอบการตัดสินใจมากขึ้น ตลาดฯ กำหนดให้บริษัทหลักทรัพย์หรือโบรกเกอร์ ต้องเปิดเผยข้อมูลขายชอร์ตที่ยังไม่ได้ซื้อคืนรายหลักทรัพย์ (Outstanding Short Positions) โดยเริ่มดำเนินการไปแล้ว เมื่อวันที่ 9 เม.ย.67
– ทบทวนคุณสมบัติของบริษัทที่สามารถขายชอร์ตได้ โดยเพิ่มขนาดมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดขั้นต่ำ (market capitalization) จากเดิม 5,000 ล้านบาท เป็น 7,500 ล้านบาท และเพิ่มข้อกำหนดเกี่ยวกับการพิจารณาสภาพคล่องของหุ้น โดยกำหนดให้หุ้นนั้นจะต้องมีสัดส่วนปริมาณการซื้อขายต่อเดือนเมื่อเทียบกับปริมาณหุ้นจดทะเบียน (monthly turnover) แล้วมากกว่า 2% คาดว่าจะประกาศใช้ไตรมาส 2/67
– มาตรการลดความผันผวนของราคา ได้แก่
1.สำหรับการขายชอร์ตเฉพาะกรณีที่ราคาหุ้นรายหลักทรัพย์ปรับตัวลดลงมากกว่า 10% จากราคาปิดของวันก่อนหน้า โดยกำหนดให้ราคาขายชอร์ตต้องเป็นราคาที่สูงกว่าราคาล่าสุด (uptick rule) คาดว่าจะประกาศใช้ไตรมาส 3/67
2. เพิ่มการกำหนดเพดานสูงสุดในการขายชอร์ตรายหลักทรัพย์ในแต่ละวัน (daily limit) เพื่อที่จะควบคุมความเสี่ยงไม่ให้เพิ่มมากเกินไป รวมทั้งเพิ่มการเปิดเผยข้อมูลรายวันของยอดสะสมปริมาณการขายชอร์ตที่ยังไม่ได้ซื้อคืน (outstanding) สำหรับแต่ละหลักทรัพย์ เพื่อเป็นข้อมูลเพิ่มเติมให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไป
– เพิ่มบทลงโทษเข้มกำกับดูแลสมาชิก กรณีพบการกระทำผิดเกี่ยวกับการขายชอร์ต จะกำหนดระวางโทษปรับที่จะลงต่อสมาชิกเพิ่มขึ้นจากเดิมประมาณ 3 เท่า ซึ่งเทียบเคียงได้กับแนวทางการลงโทษของตลาดหลักทรัพย์ชั้นนำในต่างประเทศ นอกจากนี้ จะนำเสนอหน่วยงานที่มีอำนาจกำกับดูแลในการพิจารณาแก้ไขกฏหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อให้สามารถลงโทษผู้ลงทุนที่เป็นผู้กระทำผิดได้โดยตรงด้วย คาดว่าจะประกาศใช้ไตรมาส 2/67
2. มาตรการกำกับดูแล Program Trading
เพื่อให้การซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นไปอย่างเป็นระเบียบ (orderly) และป้องกันความผันผวนผิดปกติของราคา ป้องปรามพฤติกรรมการซื้อขายหลักทรัพย์ที่ไม่เหมาะสม รวมถึงสร้างความสมดุลระหว่างกลุ่มผู้ลงทุน โดยมีมาตรการกำกับดูแล program trading ดังนี้
– การป้องกันราคาผันผวนผิดปกติ
1. เพิ่มเพดานการเคลื่อนไหวของราคาระหว่างวัน (dynamic price band) ซึ่งจะเป็นกรอบของการเคลื่อนไหวของราคาที่แคบลงมาจาก ceiling & floor โดยกำหนดกรอบไว้เป็นเปอร์เซ็นต์ (เช่น +/- 10%) จากราคาซื้อขายล่าสุด ซึ่งหากถึงระดับราคาดังกล่าวก็จะหยุดพักการซื้อขายชั่วคราวก่อนเปิดซื้อขายใหม่ คาดว่าจะประกาศใช้ไตรมาส 2/67
2. กรณีที่ราคาหุ้นมีความผันผวนมาก อาจพิจารณาปรับเปลี่ยนวิธีการซื้อขายของหุ้นที่อยู่ในมาตรการกำกับการซื้อขายเป็นแบบ call auction แทน คาดว่าจะประกาศใช้ไตรมาส 3/67
– การกำกับดูแลพฤติกรรมการซื้อขายที่ไม่เหมาะสม
1. ปรับปรุงเกณฑ์เกี่ยวกับคำสั่งไม่เหมาะสม โดยจะเพิ่มลักษณะของคำสั่งซื้อขายที่มีผลกระทบต่อตลาดทั้งในเชิงปริมาณและราคา ดำเนินการแล้วเมื่อ 11 เม.ย. 67 รวมทั้งจัดทำระบบกลางในการคัดกรองคำสั่งซื้อขายที่ไม่เหมาะสม (order screening)การกำหนดระยะเวลาขั้นต่ำของคำสั่งที่ส่งเข้ามาก่อนที่จะสามารถยกเลิกคำสั่งนั้นได้ (minimum resting time) ที่ 0.250 วินาที เพื่อป้องกันไม่ให้มีการใส่ถอนคำสั่งซื้อขายที่ถี่จนเกินไป คาดว่าจะประกาศใช้ไตรมาส 4/67
2. การใช้มาตรการหยุดการซื้อขายโดยอัตโนมัติ (auto halt) เป็นรายหุ้น หากพบว่า มีการซื้อหรือขายหุ้นนั้นรวมกันในปริมาณที่มากเกินกว่าระดับที่กำหนด เพื่อป้องกันการจับคู่ของคำสั่งซื้อขายที่อาจผิดปกติ คาดว่าจะประกาศใช้ไตรมาส 4/67
– การกำกับดูแลผู้ลงทุนที่ส่งคำสั่งด้วยความเร็วสูง (HFT) เพิ่มความเข้มงวดของการกำกับดูแลกลุ่มผู้ลงทุนประเภทนี้ เช่น ต้องมีการแจ้งหรือขึ้นทะเบียน (register) การใช้ HFT ต้องยื่นคำขอ หากพบการใช้งาน HFT ที่ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขอาจระงับหรือยกเลิกการให้บริการ SET Colocation รวมถึงมีมาตรกรอื่นได้ตามความเหมาะสม
3. ปรับปรุงเกณฑ์การเปิดเผยข้อมูล
– การเปิดเผยข้อมูลรายชื่อผู้ลงทุนที่มีพฤติกรรมการส่งคำสั่งซื้อขายไม่เหมาะสมให้แก่บริษัทสมาชิกทุกราย เพื่อให้บริษัทสมาชิกใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาดำเนินการกับผู้ลงทุนรายนั้น เช่น ปรับลดวงเงิน กำหนดให้ต้องซื้อขายผ่านผู้แนะนำการลงทุน (trader) เป็นต้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันการส่งคำสั่งซื้อขายที่ไม่เหมาะสม
– การปรับปรุงเกณฑ์การเปิดเผยรายชื่อผู้ถือหุ้นให้ครอบคลุมถึงกรณีการถือในรูปแบบ NVDR โดย
1. กำหนดให้บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด (ในฐานะผู้ออก NVDR) จะต้องเปิดเผยรายชื่อผู้ถือ NVDR ตั้งแต่ 0.5% แต่ไม่น้อยกว่า 10 ราย
2. ห้ามบริษัทหลักทรัพย์ส่งคำสั่งซื้อ NVDR ให้ลูกค้าที่เป็นผู้ลงทุนไทย
3. บริษัทหลักทรัพย์ต้องจัดให้มีมาตรการตรวจสอบคำสั่งซื้อของลูกค้าก่อนส่งคำสั่งทุกครั้ง โดยให้เฉพาะผู้ลงทุนต่างชาติเท่านั้นที่สามารถซื้อ NVDR ได้ โดยเกณฑ์ที่ปรับปรุงใหม่จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 4 มิถุนายน 2567 เป็นต้นไป