เข้าฉายแล้วสำหรับภาพยนตร์สารคดีเรื่อง อำนาจ ศรัทธา อนาคต Breaking the Cycle ภาพยนตร์ที่บันทึกความพยายามในการหยุดยั้งวงจรรัฐประหารของพรรคอนาคตใหม่ และถ่ายทอดออกมาในรูปแบบที่เข้าถึงได้ง่าย แม้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ถูกจัดจำหน่ายโดยค่ายเล็ก ๆ อย่าง Hal แต่กลับขับเคลื่อนให้ตัวภาพยนตร์ได้กระแสตอบรับที่ดีและไปได้ไกลกว่าที่ใครคาดคิดตั้งแต่ยังไม่เข้าฉาย
Breaking the Cycle เป็นผลงานจากสองผู้กำกับหน้าใหม่ เอกพงษ์ สราญเศรษฐ์ และ ธนกฤต ดวงมณีพร ที่เริ่มโปรเจ็กต์ด้วยความคิดที่ว่า “น่าจะมีใครไปถ่ายเขา(พรรคอนาคตใหม่)ไว้” เพราะเห็นปรากฏการณ์ที่พรรคสร้างต่อคนจำนวนมากในสังคมได้ และก็ตั้งใจจะถ่ายไปเรื่อย ๆ อย่างไม่มีจุดหมาย จนกระทั่งที่พรรคโดนยุบ ทั้งคู่เห็นว่าเรื่องราวมี Climax และตอนจบแล้วจึงตัดสินใจทำเป็นภาพยนตร์
ซึ่งมองจากหน้าหนังแล้วหลายคนอาจคิดว่านี่คงเป็นโฆษณาชวนเชื่อให้มีความคิดเอนไปฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือเปล่า เพราะในไทยไม่ค่อยมีภาพยนตร์สารคดี และยิ่งเป็นสารคดีการเมืองยิ่งไม่คุ้นชิน นั่นทำให้ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเกิดคำถามแบบนี้ แต่ทางผู้กำกับก็ชี้แจงว่าพรรคไม่ได้สนับสนุนหรืออำนวยความสะดวกแต่อย่างใด และเลือกเล่าความจริงผ่านมุมมองของพวกเขาเท่านั้น
อีกมุมที่น่าสนใจด้วยความที่ภาพยนตร์สารคดีนั้นไม่ค่อยเป็นที่นิยมหรือติดตลาดในประเทศไทยสักเท่าไร ทำให้ส่วนมากจะถูกฉายในเฮาส์เล็ก ๆ ไม่กี่ที่ หรือถ้าได้ฉายในโรงเครือใหญ่อย่างเมเจอร์ (Major) เอสเอฟ (SF) ก็จะได้แค่สิบกว่าโรงเท่านั้น และแน่นอนว่าเมื่อจัดจำหน่ายโดยค่ายเล็กอย่าง Hal ที่โดยทั่วไปจัดจำหน่ายภาพยนตร์นอกกระแสที่พูดชื่อไปหลายคนก็อาจไม่รู้จัก ก็คงไม่มีใครคิดว่าเรื่องนี้จะเป็นที่พูดถึงสักเท่าไร
แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นกับ Breaking the Cycle ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับกระแสที่ดีตั้งแต่ช่วงก่อนเลือกตั้งเมื่อปี 2566 และ Hal ผลักดันให้สามารถเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ได้มากถึง 100 สาขาทั่วประเทศ ทั้งในเครือ SF, Major, house และ Docclub ซึ่งบัตรรอบปฐมทัศน์ก็ขายหมดเร็วมาก ยอดจองล่วงหน้ากันเต็มหลายโรงเลย จนช่วงก่อนฉายก็ได้เพิ่มโรงมาอีก 43 สาขา และเพิ่มขึ้นอีกหลังจากนั้น รวมกว่า 150 สาขา ทั่วประเทศ
แม้ตัวเลขอาจดูไม่มากเมื่อเทียบกับโรงภาพยนตร์หลายร้อยสาขาทั่วไทย แต่ก็นับว่ามากกว่าภาพยนตร์สารคดีส่วนใหญ่ และมากกว่าหนังรางวัลหลายเรื่องที่เข้ามาฉายในไทยด้วย จะเรียกว่ามากเป็น “ปรากฏการณ์” ก็คงไม่ผิดอะไร นั่นทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นหนึ่งเรื่องที่น่าจับตามองมาก
อย่างไรก็ตาม พอหนังเริ่มฉาย กลายเป็นว่ารอบโรงที่เพิ่มมาดันเป็นพิษ เมื่อโรงภาพยนตร์บางส่วนที่เพิ่มรอบเข้ามาอย่างกระทันหันไม่สามารถเตรียมความพร้อมได้ทัน จึงทำให้บางรอบฉายไม่สามารถฉายได้ตามที่กำหนดไว้ และเชิญให้ผู้ชมที่ซื้อบัตรล่วงหน้าเลือกชมภาพยนตร์เรื่องอื่นแทนแบบงง ๆ ทาง Hal ก็ได้ออกมาชี้แจงและเร่งแก้ปัญหาที่วุ่นวายนี้
ซ้ำยังโดนกระแสวิพากษ์วิจารณ์จากกลุ่มคนที่ศรัทธาในการเมืองคนละฝั่งกับพรรคอนาคตใหม่ แม้ว่าพวกเขาส่วนใหญ่น่าจะไม่ได้ดูด้วยซ้ำ
ถึงอย่างนั้นตัวภาพยนตร์ก็ได้พิสูจน์ศักยภาพของมันหลังจากเริ่มฉายอย่างเป็นทางการไปได้ไม่กี่วัน ก็สามารถทำรายได้รวมกว่า 1 ล้านบาท ซึ่งหากดูเผิน ๆ ก็อาจไม่ใช่รายได้ที่เยอะถล่มทลาย แต่ลองมองในฐานะภาพยนตร์สารคดีแล้ว 1 ล้านเป็นตัวเลขเปิดตัวที่ค่อนข้างสวยเลย และหลังจากนี้ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ก็อาจมีรายได้เข้ามาเพิ่มเติมอีกมาก จนตลอดทั้งระยะเวลาการฉาย
ที่สำคัญคือด้วยต้นทุนของภาพยนตร์ที่ไม่ได้สูงเทียบเท่าภาพยนตร์บันเทิงอื่น ๆ ก็ทำให้ทั้งผู้สร้างและจัดจำหน่ายตัดเป็นกำไรได้ไม่น้อย ยิ่งทาง Hal เลือกใช้การโปรโมตทางออนไลน์เป็นหลัก ฉายจบคงเหลือให้รับแบบอุ่นใจ
สารที่ภาพยนตร์ต้องการสื่อ เรื่องราวที่ผู้สร้างต้องการบอกเล่า ไม่รู้ว่ามันจะเข้าถึงผู้ชมได้มากน้อยแค่ไหน หรือหลังจากนี้จะส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอะไรได้หรือไม่ แต่ที่แน่นอนคือตัวภาพยนตร์ดูจะสร้างผลตอบแทนและได้กระแสตอบรับที่ดีในฐานะภาพยนตร์เรื่องหนึ่งแล้ว จากความกล้าหาญในการเล่าเรื่องราวที่แตกต่าง และรูปแบบภาพยนตร์ที่แหวกความนิยมของตลาด