ราคาความเชื่อ
ความเชื่อของคุณมีค่าเท่าไร เรื่องนี้อาจแตกต่างกันไปในแต่ละคน แต่ความเชื่อของคนทั่วโลกมีมูลค่าเกือบ 5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 165 ล้านล้านบาท นี่คือมูลค่าของธุรกิจสายมูทั่วโลก ที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อและจิตวิญญาณ ทั้งการดูดวง เครื่องรางของขลัง คอร์สสมาธิ ฯลฯ
เมืองไทยก็ไม่ได้น้อยหน้า ธุรกิจสายมูในไทยมีมูลค่าสูงถึง 15,000 ล้านบาท ด้วยความที่เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ เรามีความผูกพันกับความเชื่อด้านจิตวิญญาณสูง ทำให้ 95% ของครัวเรือนไทยมีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับเรื่องดวงหรือการทำบุญ และสายมูที่ลึกกว่านั้นก็มีอยู่อีกไม่น้อย 75% ของคนไทย หรือ กว่า 52 ล้านคนมีความเชื่อเรื่องการดูดวง ซึ่งมันก็สอดคล้องกับความจริงที่ว่า “คนไทยหาหมอดูมากกว่าพบจิตแพทย์”
หมอดู vs หมอจิต
ความเข้าถึงง่ายคือข้อได้เปรียบสำคัญ เพราะเราสามารถเจอหมอดูไพ่ ดูลายมือ หรือแบบไหนก็ตามได้ทั่วไปตามท้องถนนหรือตลาด และที่ง่ายกว่านั้นคือตามโซเชียลมีเดีย ไม่ว่าจะเป็นการดูดวงผ่านไลฟ์สด ผ่านไลน์ หรือนัดมาดูตัวต่อตัวกันอีกที เป็นอะไรที่สะดวกและง่ายไม่ต่างจากการซื้อขายสินค้าและบริการทั่วไป ในขณะที่การพบจิตแพทย์นั้นต้องใช้เวลาและมีขั้นตอนที่ยุ่งยากกว่า
โดยเฉลี่ยแล้ว คนไทยดูดวงกัน 3 ครั้งต่อปี ทุก ๆ 2-5 เดือนและมีค่าใช้จ่ายต่อครั้งประมาณ 500 บาท นั่นหมายความว่าใช้จ่ายไปกับการดูดวงกันโดยเฉลี่ยปีละ 1,500 บาท ซึ่งเอาจริง ๆ มันถูกกว่าการไปพบจิตแพทย์หรือนักจิตบำบัดหนึ่งครั้งเสียอีก
มูทำไม?
ถึงอย่างนั้น การดูดวงกับการพบจิตแพทย์ก็ไม่ใช่สิ่งที่ทดแทนกันได้เสมอไป เพราะความคาดหวังต่างกัน คนที่ไปพบจิตแพทย์ส่วนใหญ่ต้องการแก้ปัญหาสภาพจิตใจ ไม่ว่าจะด้วยการบำบัดหรือทานยา แต่ความคาดหวังของคนที่ไปดูดวงหลายอย่างเป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือหน้าที่ของจิตแพทย์
คุณภัทฒ ผู้ก่อตั้ง Sereniques ได้เผยว่า คนเรามูด้วย 5 สาเหตุหลักคือ หลีกเลี่ยงปัญหา ช่วยตัดสินใจ ผ่านพ้นเรื่องร้าย ความบันเทิง และแสวงหาโอกาส และเสริมว่า หลาย ๆ ทีคนที่หวังพึ่งพาเรื่องมูก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่เพราะเขาทำทุกอย่างที่ทำได้ทางโลกไปแล้ว และยังอยากทำให้สบายใจขึ้นอีก
มูเป็นพิษชีวิตติดลบ
อย่างไรก็ตาม หลายคนคาดหวังจากการมูมากกว่านั้น พวกเขาหวังพึ่งพาการมูให้สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตจากหน้ามือเป็นหลังมือ หรือหวังมูเพื่อแก้ปัญหาใหญ่ที่ดูไร้ทางออก ซึ่งนั่นอาจเป็นความคาดหวังที่มากเกินไป
ไม่ใช่ว่าจะไม่มีใครพลิกชีวิตได้เพราะการมู หรือแก้ปัญหาได้ด้วยการมู คนที่ทำได้ก็มี แต่มันไม่ควรเป็นที่พึ่งเดียวในการทำแบบนั้น เพราะคุณอาจกำลังโฟกัสผิดจุด และมัวแต่ลงทุนกับสิ่งที่ไม่เกิดผลจริงก็ได้ อย่างการถูกมิจฉาชีพในคราบหมอดูปั่นหัว ครอบงำ หรือแม้แต่ที่เชื่อกันว่า “ถูกขโมยดวง” และกับคนที่ไม่ได้มีทุนทรัพย์อะไรมากมาย มันอาจกลายเป็นการเอาเงินไปละลายในแม่น้ำเสียมากกว่า
บางคนหวังว่ามูเยอะ ๆ จะได้รวย เอาเงินไปซื้อของถวาย ไปทุ่มซื้อหวย หรือบางคนอยากประสบความสำเร็จ ก็ดูดวง เสริมดวง ซื้อเครื่องราง ทำพิธีต่าง ๆ มากมาย แต่ไม่ยอมลงทุนกับความรู้ ต่อยอดธุรกิจ สร้างคอนเนคชั่น หรือเพิ่มช่องทางสร้างรายได้ ไม่ทำอะไรที่ควรทำทางโลกเลย ที่มูมาก็อาจจะสูญเปล่า
“คนรวย ๆ เขาก็มูกันทั้งนั้น”
นอกจากนี้ถ้าคุณลงทุนกับทุกอย่างที่ควรลง ทำทุกอย่างที่ควรทำทางโลกแล้ว แต่ไม่ได้มู ก็ไม่จำเป็นต้องทำก็ได้ อย่าไปเชื่อที่ใครเขาพูดกันว่า “คนประสบความสำเร็จ คนรวย ๆ เขาก็มูกันทั้งนั้น” เพราะคนที่ไม่มูแต่สำเร็จก็มีเยอะแยะ และหลายคนรวยกว่าคนมูด้วย
วอร์เรน บัฟเฟตต์ (Warren Buffet) อดีตคนที่รวยที่สุดในโลก (ตอนนี้อยู่อันดับ 6) มีทรัพย์สินกว่า 1.42 แสนล้านดอลลาร์ เคยตอบคำถามเรื่องศาสนาว่า “โดยส่วนตัว ผมไม่เชื่อเรื่องพระเจ้า” หรือ แลร์รี่ เอลลิสัน (Larry Elison) มหาเศรษฐีอันดับ 2 ของโลกตอนนี้ มีทรัพย์สินรวมกว่า 2 แสนล้านดอลลาร์ ก็เคยเผยว่าตัวเขาเองยัง “กังขา” เรื่องศาสนาอยู่ แต่เคารพในคนที่เชื่อ
พวกเขาไม่ได้อยู่ในสังคมที่นับถือพุทธหรือบูชาเทพฮินดูแบบไทยเราด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นอย่าไปยึดโยงว่าความสำเร็จมันต้องมากับการมูเท่านั้น มันไม่สมเหตุสมผล และอาจเป็นช่องโหว่ให้คนมาตักตวงผลประโยชน์จากคุณได้โดยใช่เหตุ
ไม่มูก็ได้ มูได้ก็ดี
ทั้งหมดนี้ ไม่ได้จะสื่อว่าการมูเป็นเรื่องไม่ดี เพียงแต่มันไม่ใช่เรื่องจำเป็น คนที่มูแล้วสร้างความสบายใจ เชื่อว่าช่วยให้ผ่านพ้นเรื่องร้ายหรือสร้างความสำเร็จให้พวกเขาได้ก็นับเป็นเรื่องดี ใครที่ใคร่จะมูก็ขอให้ทำสิ่งที่ควรทำอย่างเต็มที่ด้วย แต่ถ้าใครที่ไม่ได้มีงบมีทุนสำหรับเรื่องนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องไขว่คว้าหาทำก็ได้ แค่เชื่อมั่นในตัวเองเข้าไว้ แก้ปัญหาให้ถูกจุดก็พอ เพราะสุดท้ายแล้ว ไม่ว่าจะเป็นปัญหาอะไรที่มนุษย์สร้าง มันก็ไม่เกินความสามารถของมนุษย์ที่จะแก้ไขมันได้หรอก