ในขณะที่ราคาอสังหาฯ ในไทยและหลายประเทศทั่วโลกกำลังพุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติกาล จนประชาชนซื้อกันไม่ไหว แค่จะเช่าก็ยังลำบาก แต่ที่บัลติมอร์ รัฐแมริแลนด์ สหรัฐอเมริกา พวกเขาขายบ้านกันในราคาเหมือนแจกฟรี แค่ 1 ดอลลาร์เท่านั้น (ประมาณ 33 บาท)
1 ดอลลาร์ มันดูเป็นราคาที่ถูกเกินจริง ถูกยิ่งกว่าโปรโมชั่นที่จะหาได้จากไหน ถูกจนเหมือนเป็นราคามิจฉาชีพแต่ไม่ใช่ เพราะคนขายก็คือรัฐบาลท้องถิ่นบัลติมอร์เองนี่แหละ ในโครงการที่ชื่อว่า “Fixed Pricing Program” โดยแผนกการเคหะที่และการพัฒนาชุมชนเมืองบัลติมอร์ (Baltimore City Department of Housing & Community Development) หวังฟื้นฟูให้เมืองกลับมาน่าอยู่อีกครั้ง
หลายปีมานี้ บัลติมอร์ประสบปัญหาบ้านเมืองเสื่อมโทรม ที่อยู่อาศัยกว่า 14,000 หลังถูกทิ้งร้าง ส่งผลให้เมืองต้องจ่ายใช้จ้างปีละ 100 ล้านดอลลาร์เพื่อดูแลบ้านร้างเหล่านี้ รวมถึงการควบคุมปัญหาอาชญากรรมที่สูงขึ้นตามมา โดยทั้งหมดนี้เป็นผลต่อเนื่องจากนโยบายแบ่งแยกเขตที่อยู่อาศัยตามเชื้อชาติตั้งแต่ปี 1911 ที่ทำให้ขาดการลงทุนในย่านคนผิวดำ ต่อมาเมื่อครอบครัวไม่สามารถจ่ายค่าบำรุงรักษาหรือภาษีได้ ก็ต้องปล่อยบ้านทิ้งร้างไป
รัฐบาลท้องถิ่นเมืองบัลติมอร์จึงได้ตัดสินใจใช้นโยบายนี้เพื่อดึงดูดให้คนเข้ามาอยู่อาศัยในย่านเสื่อมโทรมมากขึ้น และยังเปิดโอกาสให้คนรายได้น้อยมีบ้านเป็นของตัวเอง
โครงการดังกล่าวได้เริ่มมาตั้งแต่เดือนเมษายน 2024 โดยรอบแรกเปิดโอกาสให้ประชาชนท้องถิ่นได้มีสิทธิ์เลือกซื้อก่อน ในราคา 1 ดอลลาร์ หลังจากนั้นจะเป็นรอบของผู้มีความเกี่ยวข้องกับบ้านร้างที่รัฐไม่ได้เป็นเจ้าของ และท้ายสุดคือคราวของกองทุนที่ดินชุมชน (Community Land Trusts) ส่วนนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์สามารถซื้อได้ในรอบเดียวกันแต่จะซื้อในราคา 3,000 ดอลลาร์
ถึงจะฟังดูเป็นดีลที่น่าสนใจ แต่จริง ๆ แล้ว 1 ดอลลาร์ไม่ใช่ราคาสุทธิ และผู้ซื้ออาจต้องจ่ายอีกนับหมื่นเหรียญเพื่อทำให้บ้านอยู่อาศัยได้จริง มีเงื่อนไขสำคัญว่าต้องมีงบสำหรับการรีโนเวตอย่างน้อย 90,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 3 ล้านบาท) อย่างที่บอกว่าบ้านเหล่านี้ถูกปล่อยร้างมานาน บางหลังหลายสิบปี บางหลังเกือบร้อย ดังนั้น มันจึงเป็นงานหนักของผู้ซื้อที่จะทำให้มันกลับมาเป็น “ที่อยู่อาศัย” อีกครั้ง โดยที่ทางเมืองไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการดูแลบ้านเก่าเหล่านี้ ได้เก็บภาษีบ้านเพิ่มอีก ในขณะที่ผู้ซื้อคิดว่าตัวเองกำลังได้ดีลสุดคุ้มอยู่ บอกเลยว่า “อัจฉริยะ”
นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่บัลติมอร์หรือใครเอาบ้านมาขายถูกกว่าแฮปปี้มีล เมืองเก่าแก่ในหลายรัฐของสหรัฐรวมทั้งบัลติมอร์ก็เคยใช้โครงการแบบนี้เพื่อแก้ปัญหาเมืองเสื่อมโทรม และไม่ใช่แค่ในสหรัฐแต่ยังเป็นที่นิยมมากในหลายเมืองฝั่งยุโรปด้วย
อิตาลีเป็นประเทศที่โด่งดังเรื่องโครงการบ้านราคา 1 ยูโร ที่เปิดให้ชาวต่างชาติเข้ามาซื้อเพื่ออยู่อาศัยได้ เนื่องจากเป็นประเทศท่องเที่ยวที่หลายคนมองว่าเมืองสวยน่าอยู่ แต่ไม่ใช่กับชาวเมืองเอง
ในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 ซิซิลี เมืองในอิตาลี เกิดแผ่นดินไหวอย่างหนักที่ทำให้บ้านเมืองเสียหายรุนแรง นอกจากนี้ช่วงปี 2008 แผ่นดินใหญ่ของอิตาลียังได้รับผลกระทบอย่างหนักจากวิกฤติเศรษฐกิจโลก จนทำให้คนทิ้งบ้านเมืองออกไปทำมาหากินที่อื่นแทน
ปี 2008 ซิซิลีมีบ้านถูกทิ้งร้าง ใกล้พังมากกว่า 4,000 หลัง เจ้าของบ้านที่มีบ้านอีกหลังอยู่แล้ว จ่ายค่าบำรุงและภาษีไม่ไหว จึงขายให้เทศบาลเมือง ซึ่งนำมาขายต่อในราคา 1 ยูโร ต่อมาหลายเมืองในแผ่นดินใหญ่ของอิตาลีก็ใช้วิธีนี้ด้วย แต่แน่นอนว่าผู้ซื้อจะต้องจ่ายค่าดำเนินการทางกฎหมายและตัวแทน ตั้งแต่ 2,000 – 5,000 ยูโร (ประมาณ 7 หมื่นถึง 1.8 แสนบาท) และต้องมีงบอีกหลายพันหรือหลายหมื่นยูโรสำหรับการรีโนเวต ที่ต้องแล้วเสร็จใน 3 ปี
ผู้ซื้อหลายคนจากโครงการนี้ ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นผู้อยู่อาศัย เล่าประสบการณ์แบบเดียวกันว่า มันเหนื่อยและลำบากกว่าที่พวกเขาคิดมากๆ งบบานปลายขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ดีกว่าต้องไปซื้อบ้านใหม่ราคาหลักล้าน(ดอลลาร์)ในเมืองใหญ่อื่นๆ และเมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้น พวกเขาก็รู้สึกว่ามันคุ้มค่าและมีความสุขมากที่ได้มีบ้านเป็นของตัวเอง ยิ่งบ้านในเมืองสวยๆ ของอิตาลี วิวสวยและบรรยากาศดีมาก
ทั้งนี้ก็มีผู้ที่ให้ความเห็นเกี่ยวกับโครงการบ้าน 1 ดอลลาร์ของบัลติมอร์เอาไว้ในอีกด้านของเหรียญ อดีตนักข่าวที่อาศัยในบัลติมอร์ เดวิด ไซมอน (David Simon) กล่าวว่า “โครงการนี้ไม่น่าให้ประโยชน์ต่อคนที่ลำบากด้านการเงิน มีแต่คนที่มีเงินซ่อมแซมมันเท่านั้นแหละที่ซื้อได้…. ผมไม่คิดว่ามันสำเร็จในการกระจายความมั่งคั่ง….การฟื้นฟูเมืองไม่เคยช่วยสร้างความเสมอภาคได้เลย”
สอดคล้องกับความเห็นของ เดวิด ลิดซ์ (David Lidz) ผู้ดูแลสหกรณ์วอเตอร์บอตเทิล (Waterbottle Co-op) องค์กรรากหญ้าที่ซื้อบ้านร้างในบัลติมอร์เพื่อมาปรับปรุงและปล่อยเช่าให้คนรายได้น้อย เขากังวลว่าโครงการนี้อาจทำให้ย่านที่อยู่อาศัยมีค่าครองชีพแพงขึ้น และจะผลักคนรายได้น้อยให้ไปอยู่ในย่านที่เสื่อมโทรมกว่า
อย่างไรก็ตามสำนักงานกรรมาธิการการเคหะบัลติมอร์ย้ำว่าพวกเขาตระหนักถึงปัญหาจากโครงการครั้งก่อน ๆ ตั้งใจจะชดใช้ให้กับนโยบายเหยียดเชื้อชาติของเมืองในอดีต คาดหวังความสำเร็จคือชุมชนกลับมาเป็นหนึ่งเดียวกันอีกครั้ง และ “ผู้คนสามารถใช้ชีวิตในฐานะมนุษย์คนหนึ่งได้ในบัลติมอร์”
โดยรวมแล้วก็นับว่าเป็นโครงการที่น่าสนใจและให้ประโยชน์กับเมือง แต่ก็มีช่องโหว่มากมายที่อาจทำให้ประชาชนตาดำ ๆ อาจไม่ได้รับประโยชน์ที่ควรได้ ซึ่งช่องโหว่ที่ว่านี้แอบคล้ายสถานการณ์ด้านอสังหาฯ ในไทย ที่ย่านไหนเจริญขึ้นเรื่อย ๆ คนที่อยู่ได้กลับมีแต่คนรวยที่รายได้สูงอยู่แล้ว หรือไม่ก็ชาวต่างชาติที่เข้ามาเป็นเจ้าของ ส่วนคนไทยที่รายได้น้อยไม่สามารถเป็นเจ้าของได้ แค่จ่ายค่าเช่าก็ไม่ค่อยจะไหว จนต้องออกไปอยู่ในพื้นที่ที่ค่าครองชีพถูกกว่า อย่างหลายย่านในกทม. ที่เจริญมาก ๆ คนไทยชนชั้นกลางหรือชนชั้นแรงงานก็อยู่ไม่ค่อยไหวแล้ว แต่กลับมีชาวต่างชาติอาศัยอยู่จำนวนมาก และคนรายได้สูงจริง ๆ จึงจะอยู่ได้ สะท้อนถึงการเติบโตแปลก ๆ ที่เมืองเจริญขึ้น แต่ความเป็นอยู่ของคนกลับแย่ลงสวนทางกัน