CTD - Connect the Dots
  • Home
  • Business
  • People
  • Investment
  • Opinion
  • CIS
  • News
    • News
    • Sustainable
  • Contact
    • Contact
    • About Us
Reading: การหาเสียงเลือกตั้งนโยบายแจกเงินยังเวิร์กจริงๆไหมในเชิงเศรษฐกิจ?
Share
CTD - Connect the Dots
Aa
  • Home
  • Business
  • People
  • Investment
  • Opinion
  • CIS
  • News
  • Contact
Search
  • Home
  • Business
  • People
  • Investment
  • Opinion
  • CIS
  • News
    • News
    • Sustainable
  • Contact
    • Contact
    • About Us
Follow US
Copyright © 2020 Creative Investment Space – All Rights Reserved
CTD - Connect the Dots > Blog > Opinion > การหาเสียงเลือกตั้งนโยบายแจกเงินยังเวิร์กจริงๆไหมในเชิงเศรษฐกิจ?
Opinion

การหาเสียงเลือกตั้งนโยบายแจกเงินยังเวิร์กจริงๆไหมในเชิงเศรษฐกิจ?

connectthedots admin
Last updated: 2024/03/12 at 8:31 PM
connectthedots admin Published May 13, 2023
Share

#PopPolicy อธิบายPolicy ด้วยมุมป๊อป
.
ในช่วงการหาเสียงเลือกตั้ง 2566 นโยบายที่น่าจะเรียกเสียงฮือฮาและเสียงวิพากษ์วิจารณ์ได้มากที่สุด
เห็นจะไม่พ้นการแจกเงินดิจิตัล คนละ 10,000 บาท ของพรรคเพื่อไทย บ้างก็ว่านโยบายนี้จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้จริงจัง บ้างก็ว่านี่เป็นนโยบาย “ประชานิยม” ที่จะสร้างแต่ภาระทางการคลังและไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจในระยะยาว

ในบทความนี้ ผู้เขียนจะอ้างอิงประสบการณ์นโยบายแจกเงินทั้งในไทยและต่างประเทศ เพื่อนำมาสู่ข้อสรุปว่า การแจกเงิน “เวิร์ค” หรือไม่?
.
“หว่าน” หรือ “พุ่งเป้า”?

หนึ่งในประเด็นที่ถกเถียงกันเกี่ยวกับนโยบายแจกเงินหรือการให้สวัสดิการ คือ ควรแจกให้กับทุกคน หรือควรแจกเฉพาะกลุ่มที่รัฐบาลต้องการจะช่วยเหลือจริง ๆ

ในมุมของฝ่ายที่ชอบการแจกเงินแบบ “หว่าน” ก็จะมีเหตุผลว่าการแจกเงินแบบนี้ไม่ต้องผ่านกระบวนการพิสูจน์ตัวตนของผู้รับเงินที่อาจยุ่งยากและไม่แม่นยำ ซึ่งจะทำให้การดำเนินนโยบายทำได้รวดเร็วขึ้นด้วย ส่วนฝ่ายที่ชื่นชอบการแจกเงินแบบ “พุ่งเป้า” ก็มักจะอ้างว่าด้วยการแจกเงินแบบนี้จะประหยัดงบประมาณกว่าแจกหว่าน และกระบวนการระบุกลุ่มเป้าหมายก็ทำได้ไม่ยากหากใช้ Big Data เข้ามาช่วย

ผิดฝาผิดตัว: ประสบการณ์อันขมขื่นจากรัฐบาลลุง

ในช่วงวิกฤติโควิด-19 รัฐบาลของประยุทธ์ จันทร์โอชาได้ออกมาตรการทางการคลังเพื่อเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการล็อคดาวน์ ซึ่งนโยบายแรกคือ “เราไม่ทิ้งกัน” ซึ่งเป็นการแจกเงิน 5,000 บาท เป็นระยะเวลา 3 เดือน ให้แก่แรงงาน ลูกจ้างชั่วคราวและผู้ประกอบอาชีพอิสระ ที่ไม่อยู่ในระบบประกันสังคม โดยกลุ่มที่ถูก “คัดออก” จากโครงการนี้หลัก ๆ ก็คือข้าราชการ ซึ่งยังได้เงินเดือนเต็มเม็ดเต็มหน่วย และเกษตรกร ซึ่งจะได้รับการช่วยเหลือจากอีกโครงการหนึ่ง

ปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือ เราไม่ทิ้งกัน เป็นโครงการที่ต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วนเพื่อเยียวยาประชาชนที่ออกไปประกอบอาชีพไม่ได้ แต่ขั้นตอนการพิสูจน์ตัวตนล่าช้า และเต็มไปด้วยความผิดพลาด เนื่องจากฐานข้อมูลที่ใช้ไม่ได้มีการอัพเดท ทำให้ประชาชนหลายคนกลายเป็นเกษตรกร ทั้ง ๆ ที่บางคนไม่มีที่ดินทำกินเสียด้วยซ้ำ

ในฐานะที่ผู้เขียนเคยทำงานอยู่ในศูนย์รับเรื่องร้องเรียนโครงการเราไม่ทิ้งกัน มีทั้งคนที่โทรมาอ้อนวอนว่า ขอเงินแค่เดือนละสองพันบาทก็ได้ แต่ขอเงินทันทีได้ไหม บางคนโทรมาบอกว่าจะโดดสะพานตายถ้าไม่ได้เงิน และมีบางคนที่ลูกกำลังจะได้ไม่ได้เรียนมหาวิทยาลัย เพราะผู้ปกครองหาเงินมาจ่ายค่าเทอมไม่ทัน

และในเมื่อการระบุตัวตนล้มเหลว ประชาชนผู้ตกสำรวจก็ต้องเขียนใบคำร้องเป็นกระดาษมาส่งที่อำเภอหรือจังหวัด และก็เป็นเหล่าข้าราชการนี่แหละที่ต้องกรอกข้อมูลดังกล่าวด้วย “มือ”

ถ้ามองย้อนกลับไปถึงสาเหตุที่เราไม่ทิ้งกันไม่ประสบความสำเร็จ นอกจากฐานข้อมูลที่ไม่ดีพอ ซึ่งทำให้การระบุกลุ่มเป้าหมายคลาดเคลื่อนไปหมด อีกเหตุผลที่น่าเศร้าคือผู้ดำเนินโครงการอาจไม่ได้ให้ความสำคัญการเยียวยาประชาชนอย่างรวดเร็วเป็นหลัก แต่กลับมีความ “เบียว” Big Data `โดยหวังจะได้ฐานข้อมูลขนาดใหญ่จากประชาชนที่มาลงทะเบียน แต่ก็ต้องแลกมาด้วยเงินที่ถึงมือประชาชนที่ล่าช้า ทั้ง ๆ ที่ถ้าใช้การแจกเงินแบบไม่ต้องตรวจสอบเงื่อนไขผู้รับมากมาย ประชาชนก็จะได้รับความช่วยเหลืออย่างทันท่วงทีไปแล้ว
.
อีกโครงการหนี่งภายใต้รัฐบาลลุงตู่ที่สะท้อนถึงความล้มเหลวของนโยบายแบบ “พุ่งเป้า” คือโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือ “บัตรคนจน” ที่ไม่ได้แก้ปัญหาความยากจน เพราะจำนวนผู้มาลงทะเบียนกลับเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ นอกจากนี้ ยังเจอปัญหาความผิดฝาผิดตัว เพราะคนที่จนจริง ๆ แต่ไม่สามารถมาลงทะเบียนได้กลายเป็นผู้ตกสำรวจ ในขณะที่ผู้มีอันจะกินบางคนกลายสภาพเป็น “คนอยากจน” และได้รับสวัสดิการที่ไม่สมควรได้รับตั้งแต่แรก

ก็ยังถือว่าเป็นโชคดีของคนไทย ที่ในภายหลังรัฐบาลลุงตู่ได้ลองใช้นโยบายการแจกเงินแบบ “หว่าน” เช่น โครงการคนละครึ่ง ซึ่งผู้ลงทะเบียนจะได้รับสิทธิ์ในทันที ซึ่งเสียงตอบรับจากประชาชนก็ดีกว่าโครงการแบบพุ่งเป้าก่อนหน้านี้มาก

ทั้งนี้ ไม่ได้หมายความว่าโครงการแจกเงินแบบ “พุ่งเป้า” จะมีแต่ข้อเสีย แต่ปัจจัยสำคัญต่อความสำเร็จของโครงการประเภทนี้คือฐานข้อมูลที่เชื่อถือได้และมีการเก็บข้อมูลอย่างต่อเนื่อง มิใช่การเก็บข้อมูลเฉพาะเวลาดำเนินโครงการเท่านั้น เช่นนโยบายแจกเงินช่วงโควิดของมาเลเซีย ที่มีการแจกเงินให้กับประชาชนในกลุ่มรายได้ 20% แรก 40% กลาง และ 20% ท้าย ในจำนวนที่ต่างกัน ซึ่งฐานข้อมูลที่มาเลเซียใช้มาจากการเก็บข้อมูลอย่างสม่ำเสมอของกรมสถิติของมาเลเซียทุกสองปีครึ่ง ทำให้การช่วยเหลือประชาชนเป็นไปอย่างถูกฝาถูกตัว
.
“หว่าน” ยังไงให้ได้ผล?
แล้วถ้าการแจกเงินแบบพุ่งเป้ามีข้อจำกัด จะ “หว่าน” เงินยังไงให้ได้ผลดีที่สุด?

คำตอบคือต้องหว่านแบบ “ไร้เงื่อนไข”
ในแวดวงวิชาการ และสำนึกของคนทั่วไป มักคิดว่า การแจกเงินที่ไม่มีเงื่อนไข จะทำให้ผู้รับนำไปใช้สุรุ่ยสุร่าย หรือนำไปใช้จ่ายกับสิ่งที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ และการแจกเงินจะทำให้ผู้รับขี้เกียจ

แต่จากประสบการณ์การทดลองแจกเงินในต่างประเทศ ได้พิสูจน์แล้ว คนที่รู้วิธีการใช้เงินที่ดีที่สุดไม่ใช่ภาครัฐ แต่คือ “ประชาชน” ผู้รับเงินนั่นเอง

ในกรุงลอนดอน Broadway องค์กรการกุศลแห่งหนึ่ง เคยมีการทดลองให้เงินคนไร้บ้าน 13 คน คนละ 3,000 ปอนด์ แบบไร้เงื่อนไข เพื่อเป็นการแก้ปัญหาการจัดการบุคคลเหล่านี้ซึ่งมีค่าใช้จ่ายรวมสูงถึงปีละ 4 แสนปอนด์ โดยผลปรากฏว่าสองจากสิบสามคนสามารถหาที่อยู่ได้ คนไร้บ้านบางคนนำเงินก้อนนี้ไปเข้าหลักสูตรทำสวนล้าง ไปบำบัดอาการติดยาบ้าง กลายเป็นว่าโครงการนี้ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว เพราะนอกจากจะแก้ปัญหาคนไร้บ้านได้แล้ว ยังทำให้รัฐบาลประหยัดงบประมาณ จนนิตยสาร Economist ถึงกับสรุปว่า “การใช้เงินกับคนไร้บ้านที่ดีที่สุดคือการให้เงินพวกเขาไปเลย”

อีกตัวอย่างของการแจกเงินหว่านแบบไร้เงื่อนไขที่ประสบความสำเร็จมากคือองค์กร GiveDirectly ซึ่งเป็นองค์กรการกุศลที่เน้นการแจกเงินแบบไร้เงื่อนไขทั้งกับคนจนในประเทศที่พัฒนาแล้วและกำลังพัฒนาที่สามารถระดมเงินบริจาคได้ถึงระดับ 2-300 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ซึ่งถ้ามองกันอย่างผิวเผินแล้ว การแจกเงินเช่นนี้เหมือนจะไม่ยั่งยืน เพราะเมื่อเงินหมด คนก็น่าจะกลับไปยากจนเหมือนเดิม

แต่เราต้องไม่ลืมว่าการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบ จะก่อให้เกิด multiplier effect หรือการหมุนของเงิน ซึ่งทำให้เศรษฐกิจขยายตัวไปได้ไกลขึ้นอีก โดยมีโครงการหนึ่งของ GiveDirectly ในเคนยาซึ่งมีการแจกเงินรวมกัน 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีตัวคูณเท่ากับ 2.4 แปลว่าทุก 1 ดอลลาร์ที่คนจนได้รับ จะก่อให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจในระบบเป็นจำนวน 2.4 ดอลลาร์ เป็นการอัดฉีดที่ทำให้เศรษฐกิจคึกคัก

อีกปัจจัยที่เราอาจจะลืมคิดไปคือ คนจนบางส่วนอาจจะเลือกใช้เงินที่ได้ไปกับการลงเรียนหลักสูตรฝึกอาชีพ หรือการซื้อสิ่งของที่จำเป็นในการประกอบกิจการ ซึ่งทำให้หลายคนหลุดพ้นความยากจนอย่างถาวร

และถ้าย้อนกลับมามองโครงการแก้จนเช่นบัตรสวัสดิการแห่งรัฐของไทย กลับมีเงื่อนไขให้ผู้รับเงินต้องเข้ารับการฝึกอาชีพจากภาครัฐ ซึ่งน่าคิดไม่น้อยว่าการทำตัวเป็น “คุณพ่อรู้ดี” ของรัฐซึ่งคิดแทนประชาชนว่าต้องฝึกอาชีพแบบไหน คือปัจจัยหนึ่งที่ทำให้โครงการนี้ไม่ประสบความสำเร็จนั่นเอง

บทสรุป

แน่นอนว่าการแจกเงินอาจไม่ใช่ยาวิเศษที่จะพลิกฟื้นเศรษฐกิจไทยในเร็ววัน เพราะถึงแม้นโยบายนี้จะมีศักยภาพในการแก้ปัญหาความยากจน แต่การจะยกระดับประเทศไทยให้หลุดพ้นกับดักรายได้ปานกลางอาจต้องอาศัยการปฏิรูปเชิงโครงสร้างเพื่อโยกแรงงานไทยจากภาคเกษตรไปสู่ภาคที่สร้างมูลค่าเพิ่มได้มากขึ้น ซึ่งการแจกเงินอย่างเดียวอาจไม่ตอบโจทย์ตรงนี้

และผู้เขียนอยากจะขอส่งท้ายด้วยคำกล่าวที่ว่า “นักการเมืองให้ปลา พระราชาให้เบ็ด” อาจจะไม่จริงเสมอไป เพราะวิธีช่วยเหลือประชาชนที่ดีที่สุดอาจจะเป็นการให้ “เงิน” แก่ประชาชนโดยไม่มีเงื่อนไขนั่นเอง

ผู้เขียน : ธนากร ไพรวรรณ์

You Might Also Like

วัดกำลังอสังหาฯ ยามพบศึกหนัก แผ่นดินไหว vs สงครามการค้า บ้านแนวราบโต แต่ตลาดคอนโดตึกสูงสั่นคลอน

“เอกา โกลบอล” ประเมินธุรกิจบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหาร รับมือนโยบาย ‘ทรัมป์’

นโยบายประชานิยม กับดักความจน ตัวการพังเศรษฐกิจไทย?

YLG ชี้ทองคำแกว่งตัวกรอบบน รับดอลลาร์อ่อนค่า ลุ้นแตะ 3,000 ดอลลาร์

TAGGED: การเมือง, เศรษฐกิจ

Sign Up For Daily Newsletter

Be keep up! Get the latest breaking news delivered straight to your inbox.
By signing up, you agree to our Terms of Use and acknowledge the data practices in our Privacy Policy. You may unsubscribe at any time.
connectthedots admin May 13, 2023
Share this Article
Facebook Twitter Email Copy Link Print
Previous Article การสื่อสารการตลาดการเมือง จากยุค 1.0 ถึง 3.0 ทำอย่างไร? ทำเพื่อใคร?
Next Article รู้จักผู้ก่อตั้ง “จ๊อดแฟร์” อดีตพ่อค้าข้างถนนที่โดนเทศกิจไล่ที่สู่ผู้บริหารตลาดนัดมูลค่า 7,000 ล้านบาท
CTD - Connect the Dots

Connect The dots ชุมชนสำหรับผู้ที่ชอบค้นหาโอกาสใหม่ พัฒนาตัวเองตลอดเวลา และเชื่อในโอกาสใหม่ๆ พื้นที่แลกเปลี่ยนความรู้ ไม่ว่าจะเป็นโลกธุรกิจ การลงทุน เทรนด์กระแส หรือ แม้กระทั่ง การเงินส่วนบุคคล ร่วมลากเส้น ต่อจุด เพื่อทุกความเป็นไปได้ไปกับเรา เพียงคุณเริ่มต้นที่จุดแรกไปกับเรา

Facebook Youtube Tiktok Spotify

แผนผังเว็บไซต์

Home
Business
People
News
Contact
Opinion
Investment
CIS
Sustainable
About Us

Copyright © 2024 Connect the Dots – All Rights Reserved

ข้อตกลงและเงื่อนไข

คำเตือนความเสี่ยงฉบับเต็ม

Removed from reading list

Undo
Welcome Back!

Sign in to your account

Lost your password?