“ทรีนีตี้” แนะเพิ่มน้ำหนักลงทุนหุ้นที่ดัชนีระดับ 1370 จุด มองมีโอกาส Upside สู่ดัชนีฐานปีนี้ที่ 1,455 จุด แนะ 4 กลุ่ม 8 หุ้นน่าสนใจ แรงขาย LTF เดือนนี้ 5.5 พันล้านไม่กระทบ สภาพคล่องนักลงทุนสถาบันยังสูง
นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยถึงทิศทางตลาดหุ้นไทยเดือนมกราคมปี 2568 ว่า ภาพตลาดหุ้นไทยในเดือนมกราคมปี 2568 นี้ คาดว่า SET Index จะสามารถปรับตัวรีบาวด์ขึ้นมาจากบริเวณ 1360-1380 จุดได้ไม่ยาก
และมองการปรับฐานของ SET Index ในช่วงที่ผ่านมาถือเป็นเรื่องที่ดีในการลดความร้อนแรงด้าน Valuation ของตลาด หลังจากที่ประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียนได้ถูกปรับนำลงมาก่อนหน้านี้
สำหรับการไถ่ถอนกองทุน LTF ที่เตรียมครบกำหนดอายุใหม่ในเดือนนี้ ประเมินแล้วจะมีมูลค่าอยู่ที่ราว 5.5 พันล้านบาท ซึ่งมองอาจจะไม่ได้มีอิทธิพลกดดัน SET Index มากนัก ในภาวะที่สภาพคล่องของนักลงทุนสถาบันในประเทศยังคงอยู่ในระดับสูง ส่วนหนึ่งจากเม็ดเงินกองทุนลดหย่อนภาษีที่เข้ามาในช่วงปลายปี 2567
ที่สำคัญ ผลการศึกษาในเชิงปริมาณยังพบว่า SET Index มักเกิดปรากฏการณ์ January effect ในช่วงสองสัปดาห์แรกของเดือนมกราคม โดยหากใช้ข้อมูลในช่วง 10 ปีให้หลังมานี้จะพบว่าดัชนีให้ผลตอบแทนเฉลี่ยในช่วงเวลาดังกล่าวอยู่ที่ 1.4% โดยมีผลตอบแทนที่ติดลบเพียงแค่ 2 ปีจาก 10 ปีเท่านั้น
ในเชิงกลยุทธ์ หากเทียบเคียงระดับดัชนีปัจจุบันที่บริเวณ 1386 จุด กับระดับกรณีฐานของทรีนีตี้ในปี 2025 ที่ 1455 จุด ต้องบอกว่าระดับ Upside เป็นต่อ Downside แล้ว ด้วยเหตุนี้ทางทรีนิตี้แนะนำให้นักลงทุนที่เพิ่มน้ำหนักหุ้นไทยบริเวณดัชนี 1370 จุดตามที่แนะนำก่อนหน้านี้ สามารถถือครองหุ้นในส่วนดังกล่าวต่อไปได้
กลุ่มหุ้นที่น่าสนใจในเดือนนี้ มองไปยัง 4 ธีมการลงทุนสำคัญได้แก่
[1.] กลุ่มค้าปลีกและไฟแนนซ์ที่ได้ประโยชน์จากมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ และมาตรการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอย ได้แก่ AEONTS, CPALL, JMT
[2.] กลุ่มหุ้นปันผลสูงที่อยู่ในดัชนี SETHD ซึ่งมักจะเป็นดัชนีที่ปรับตัว Outperform ในช่วง 4 เดือนแรกของทุกๆปี ได้แก่ PTT, TISCO
[3.] กลุ่มหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการลงทุนทางตรงของต่างชาติ และการลงทุนภาคเอกชนของไทยที่จะฟื้นตัวได้โดดเด่น ได้แก่ WHA
[4.] กลุ่มหุ้น IFFs และ REITs ที่ได้ประโยชน์จากระดับ Dividend yield gap ที่ยังคงยืนสูงกว่าค่าเฉลี่ย บ่งชี้ถึงความน่าสนใจเมื่อเปรียบเทียบกับการลงทุนในตราสารที่คล้ายกันอย่างพันธบัตร ได้แก่ DIF, LHHOTEL
สำหรับปัจจัยที่น่าติดตามในสัปดาห์นี้ ได้แก่ รายงานตัวเลขเงินเฟ้อ CPI ของไทยประจำเดือนธ.ค. ซึ่งล่าสุดออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ มองแรงกดดันเงินเฟ้อภายในค่อนข้างต่ำ ซึ่งจะเอื้อให้ธปท.สามารถดำเนินปรับลดดอกเบี้ยได้ 1 ครั้งภายในไตรมาสที่ 1 นี้
ส่วนปัจจัยต่างประเทศที่น่าสนใจ ได้แก่ รายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯประจำเดือน ธ.ค.ในวันที่ 10 ม.ค. หากออกมาแตกต่างจากที่ตลาดคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 1.6 แสนตำแหน่ง อาจส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของคาดการณ์ดอกเบี้ย Fed ในตลาดได้