อ่านทิศทางการลงทุน จากค่าเงินดอลลาร์ และนโยบายของ FED
ปี 2022 นี้ สินทรัพย์ที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีที่สุดจนถึงเวลานี้ (ปลายเดือนกันยายน) ก็คือ ค่าเงินดอลลาร์หรือ Dollar Index ซึ่งแข็งค่าขึ้นมาตั้งแต่ต้นปี 20% เมื่อเทียบกับดัชนี S&P500 ที่ปรับตัวลดลงมาแล้ว 25% และทองคำที่ปรับตัวลดลง 12% เช่นเดียวกับค่าเงินของประเทศต่างๆ เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ อย่างเช่น เงินเยนญี่ปุ่น และเงินปอนด์อังกฤษ ที่อ่อนค่าทำสถิติใหม่
.
คำกล่าวที่ว่า Don’t Fight With FED หรืออย่าคิดที่จะอยู่ฝั่งตรงข้ามกับ FED ยังคงใช้ได้เสมอ เมื่อธนาคากลางสหรัฐฯใช้นโยบายการเงินที่เคร่งครัด ทุกสินทรัพย์จะด้อยค่าลงเสมอ โดยเฉพาะในช่วงหลังจากที่ FED เริ่มใช้เครื่องมือที่เรียกว่า QE ในปี 2009 เพื่อแก้ไขวิกฤติซับไพร์ม
.
คุณณพวีร์ พุกกะมาน นักลงทุนและผู้ก่อตั้ง Creative Investment Space (CIS) สถาบันให้ความรู้ด้านนวัตกรรมการลงทุนรูปแบบใหม่ ให้ข้อสังเกตไว้ว่า นับตั้งแต่ช่วงปี 2009 ถึง 2013 ค่าเงินดอลลาร์เคลื่อนไหวในกรอบ Sideway ใหญ่ ไม่มีเทรนด์ที่ชัดเจน แต่หลังจากปี 2014 ที่ FED เริ่มทำการลดวงเงิน QE ลง ค่าเงินดอลลาร์มีการแข็งค่ากลับขึ้นมาและราคาสินทรัพย์อื่นอย่างทองคำมีการปรับตัวลง โดยในปีนั้น ดัชนี Dollar Index ปรับตัวขึ้นกว่า 20%
.
ภาพในปี 2014 จึงเหมือนกับในปี 2022 ที่ดัชนี Dollar Index แข็งค่าขึ้นตลอดทั้งปีและกดดันทุกสินทรัพย์มีทิศทางขาลง อย่างไรก็ตามหลังจากที่ FED ชะลอการใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวด Dollar Index เริ่มที่จะหยุดแข็งค่าและเปลี่ยนมาเป็นทิศทาง Sideway สลับกับขาลงทำให้สินทรัพย์อื่นๆโดยเฉพาะตลาดหุ้นในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ปรับตัวเป็นขาขึ้นแทน
.
หากใช้สถิติในอดีตมาวิเคราะห์ทำให้สามารถคาดการณ์ได้ว่าปี 2022 ต่อเนื่องจนถึงช่วงต้นปี 2023 ราคาสินทรัพย์อื่นๆน่าจะยังถูกกดดันจากการแข็งค่าของค่าเงินดอลลาร์ ซึ่งดูจากถ้อยแถลงของประธาน FED ที่ต้องการสู้กับเงินเฟ้อให้ถึงที่สุด การขึ้นดอกเบี้ยและ QE Tapering จะยังอยู่ในระดับที่รุนแรงต่อ
.
แต่อย่างน้อยก็มีเรื่องดีที่อัตราเงินเฟ้อทั่วโลกน่าจะแตะระดับสูงสุดไปแล้วจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้การขึ้นดอกเบี้ยของ FED อาจจะค่อยๆทะยอยลดความร้อนแรงลงในปี 2023
.
ประกอบกับเศรษฐกิจโลกจะเผชิญกับปัจจัยลบใหม่นั่นคือเศรษฐกิจถดถอยหรือ Recession ซึ่งน่าจะเกิดขึ้นในปี 2023 ทำให้ FED อาจจะต้องปรับนโยบายการเงินใหม่ให้มีความผ่อนคลายแทนเช่นการลดดอกเบี้ยหรือแม้แต่การใช้ QE อีกรอบ ซึ่งจะทำให้ค่าเงินดอลลาร์กลับมาอ่อนค่าอีกครั้ง
.
จึงมีความเป็นไปได้ว่าราคาสินทรัพย์อื่นๆจะกลับเข้ามาสู่ขาขึ้นอีกครั้งในช่วงปลายปี 2023 หรือต้นปี 2024 ซึ่งเป็นช่วงที่เศรษฐกิจทั่วโลกอาจจะผ่านพ้นช่วง Recession ไปได้และเริ่มมีสภาพคล่องจาก FED ที่ปล่อยออกมาช่วยผลักดันราคา
.
อย่างไรก็ตามเงินเฟ้อทั่วโลกยังน่าจะคงอยู่ในระดับสูงเกินกว่าค่าเฉลี่ยที่เหมาะสมนั่นคือ 3-4% โดยอาจจะยังคงอยู่ในระดับ 5-7% จากการที่เงินเฟ้อได้ซึมเข้าไปอยู่ในต้นทุนของภาคธุรกิจเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทำให้ต้องมาวิเคราะห์กันต่อไปว่าสินทรัพย์ใดที่จะเติบโตได้ดีในภาวะที่เงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูง
.
ผู้เขียนมองว่าตลาดหุ้นจีน ทองคำและบิทคอยน์ น่าจะเป็นสินทรัพย์ที่สามารถ Outperform ได้ในปีหน้า โดยทองคำและบิทคอยน์มีความเกี่ยวพันกับเศรษฐกิจจริงค่อนข้างน้อยและมีคุณสมบัติในการต้านทานกับเงินเฟ้อได้ดี ส่วนจีนมีข้อดีที่เงินเฟ้อในประเทศอยู่ในระดับต่ำและถ้ามีการปลดล๊อกเรื่องนโยบายโควิดน่าจะทำให้เศรษฐกิจจีนกลับมาขยายตัวได้อีกครั้ง
.
แท้นักลงทุนจะค่อนข้างเหนื่อยกับภาวะตลาดในปีนี้ แต่ถ้ามองภาพการลงทุนระยะยาว ช่วงเวลาตั้งแต่กลางปี 2023 เป็นต้นไปน่าจะเป็นจังหวะที่ดีของการเริ่มทะยอยลงทุนในสินทรัพย์ที่มีโอกาสเติบโตสูงได้ ส่วนปีนี้ต้องยอมให้กับเงินดอลลาร์ไปก่อน