ถ้าหากมีการพูดถึงตลาดหุ้นในเอเชียนอกเหนือจากตลาดหุ้นไทย นักลงทุนรวมถึงกองทุนต่างๆมักจะโฟกัสไปที่ตลาดหุ้นยอดนิยมอย่างจีน ฮ่องกงรวมถึงเวียตนามโดยใช้ปัจจัยหลักในการตัดสินใจคือแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจรวมถึงการเป็นฐานผลิตทางด้านเทคโนโนโลยีของโลก
.
แต่จริงๆแล้วหากต้องการลงทุนในตลาดหุ้นที่มีพื้นฐานในเชิงของนวัตรกรรมยังคงมีทางเลือกที่น่าสนใจคือตลาดหุ้นเกาหลีและไต้หวันซึ่งอาจจะฟังดูไกลตัวคนไทยแต่ถือว่ามีความน่าสนใจในการลงทุนระยะยาว
.
สิ่งที่สองชาตินี้มีเหมือนกันคือการเป็นผู้นำในทางเทคโนโลยีโดยเฉพาะชิปเซตและเซมิคอนดักเตอร์ระดับสูง ต่างจากไทยที่เป็นฐานการผลิตระดับกลางและเวียตนามเป็นฐานผลิตระดับล่าง โดยบริษัทที่เป็นกลุ่มผู้นำในทั้งสองตลาดต่างเป็นธุรกิจที่คนไทยคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี
.
โดยตลาดหุ้นเกาหลีหรือ KOSPI มีหุ้นดาวเด่นคือ SAMSUNG ซึ่งเป็นผู้ผลิตสมาร์ทโฟนและชิบเซตอันดับต้นๆของโลก โดยมาร์เกตแคปของยักษ์ใหญ่รายนี้ครอบครองไปถึงเกือบ 20% ของตลาดหุ้นเกาหลี เพราะนอกจากบริษัทที่มีรายได้สูงสุดอย่าง SAMSUMNG Electric แล้วยังมีบริษัทในเครืออื่นๆอีกมากมายทั้งการเงิน อสังหาริมทรัพย์ ฯลฯ
.
ตลาดหุ้นเกาหลียังมีบริษัทผู้ส่งออกทางด้านเทคโนโลยีอีกจำนวนมากและยังพัฒนาไปไกลกว่าการรับจ้างผลิตหรือ OEM มานานหลายปีจนบริษัทเทคโนโลยีในสหรัฐฯยังต้องนำเข้าสินค้าเป็นสัดส่วนที่สูง จนมีคำกล่าวว่าตลาดหุ้นเกาหลีคือหนึ่งในดัชนีชี้วัดการเติบโตของภาคการส่งออกของโลกเลยทีเดียว
.
ขณะที่ตลาดหุ้นไต้หวันมีสัดส่วนเกินครึ่งที่เป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนอีเล็กทรอนิกส์ แม้จะยังมีสัดส่วนของการรับจ้างผลิตในระดับสูง แต่ด้วยโพสิชั่นของไต้หวันที่ชูจุดแข็งทางด้านการเป็นซัพพลายเออร์ให้กับบริษัทระดับโลกมายาวนาน ทำให้ยังสามารถรักษายอดขายไว้ได้ยาวนาน
.
บริษัทที่โดดเด่นในตลาดหุ้นไต้หวันคงหนีไม่พ้น TSMC หรือ Taiwan Semiconductor Manufacturer Corporation ที่เป็นผู้ผลิตชิปเซตรายใหญ่ที่สุดของโลกโดยมีมาร์เกตแคปคิดเป็นสัดส่วนเกือบ 1 ใน 4 ของทั้งตลาด และยังมีหุ้นตัวอื่นที่เป็นผู้รับจ้างผลิตรายใหญ่อีกด้วยเช่นกัน
.
หากหุ้นในตลาด NASDAQ หรือหุ้นเทคโนโลยีสัญชาติจีนเป็น First Tier ของหุ้นเทคโนโลยีมีการเติบโต หุ้นในตลาดเกาหลีและไต้หวันที่เป็น Second Tier ก็มีโอกาสที่จะเติบโตตามไปก้วยเช่นกันและทั้งสองตลาดถือเป็น Lead Indicator ให้กับหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่อย่าง APPLE MICROSOFT ALPHABET ฯลฯ รวมถึงหากมีเทคโนโลยีอื่นๆที่กำลังเติบโตอย่างเช่นรถยนต์ไฟฟ้า ก็มีโอกาสที่บริษัทในสองตลาดหุ้นนี้จะได้รับประโยชน์ไปด้วย
.
อย่างไรก็ตามทั้งสองตลาดมีความเสี่ยงในด้านของความผันผวนอัตราแลกเปลี่ยนจากการที่เน้นเรื่องการส่งออกเป็นหลักตลอดจนการเมืองระหว่างประเทศในภูมิภาคเอเชียเหนือเนื่องจากทั้สองประเทศต่างเป็นพันธมิตรสำคัญของสหรัฐฯในภูมิภาคนี้ซึ่งหากสหรัฐฯมีปัญหากับจีนก็อาจจะส่งผลกระทบมาด้วยเช่นกัน
.
นักลงทุนไทยอาจจะลงทุนในหุ้นรายตัวของทั้งตลาดหุ้นเกาหลีและไต้หวันได้ลำบากเนื่องจากสองตลาดยังมีหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นหลักอย่างสหรัฐฯในสัดส่วนไม่มากแต่สามารถลงทุนผ่านกองทุนรวมหรือกองทุน ETF ได้เช่นกัน ถือเป็นทางเลือกหนึ่งในการลงทุนในตลาดหุ้นเอเชียที่พัฒนาแล้วในระดับหนึ่งแต่ยังมีโอกาสเติบโตสูงตามกระแสเทคโนโลยีของโลก