มาตรการกระตุ้นท่องเที่ยวรัฐกระทุ้งผู้ประกอบการโรงแรมแห่อัดแคมเปญ ชูส่วนลด หวังดึงนักท่องเที่ยวเข้าใช้บริการ เตรียม “เราเที่ยวด้วยกันเฟส 2” รอความชัดเจนสิ้นเดือนสิงหาคมนี้ พร้อมขยายระยะเวลาเบนเที่ยวเมืองรอง และเที่ยววันธรรมดามากขึ้น ขณะราคาหุ้นโรงแรมใหญ่ขยับเพิ่มต่อเนื่อง โบรกฯ ชี้ส่งผลดีต่อธุรกิจโรงแรม โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่มีโรงแรมในเมืองไทยเป็นส่วนใหญ่ เชื่อหนุนผลประกอบการฟื้นตัว CENTEL-ERW-MINT คึก
หลังจากสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้ระบาดหนักและรัฐออกมาตรการต่างๆ มาป้องกัน และเมื่อรายงานตัวเลขผู้ติดเชื้อภายในประเทศไทยเป็นศูนย์มานานเกือบจะ 2 เดือนแล้ว ส่งผลให้รัฐบาลเริ่มคลายล็อกตั้งแต่เฟส 1 เรื่อยมาจนถึงเฟส 6 ซึ่งถือว่าทำให้ประชาชนกลับมาดำเนินชีวิตได้เกือบปกติ กล่าวคือ อนุญาตให้มีการเดินทางภายในประเทศและภายในภูมิภาค รวมถึงเริ่มอนุญาตให้มีการเดินทางระหว่างประเทศได้ พร้อมกับการกระตุ้นเศรษฐกิจ ด้วยการให้ประชาชนได้กลับมามีกิจกรรมทางสังคมมากขึ้น ทั้งการท่องเที่ยว จับจ่ายใช้สอย เพื่อให้ฟันเฟืองทางเศรษฐกิจขับเคลื่อนไปได้
ในที่สุดคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติเงิน 22,400 ล้านบาทเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ ด้วยมาตรการแรก คือ “เราเที่ยวด้วยกัน” ซึ่งรัฐคาดหวังว่าจะสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนทางตรงให้แก่ผู้ประกอบการกว่า 50,000 ล้านบาท ทางอ้อมต่อระบบเศรษฐกิจ 26,000 ล้านบาท สร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจรวมกว่า 7 แสนล้านบาท และจะทำให้รายได้รวมในภาคการท่องเที่ยวไทยเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้คือ 1.23 ล้านล้านบาท ระยะเวลาเดือน ก.ค.-ต.ค. โดยรัฐจะสนับสนุนค่าใช้จ่ายโรงแรมและที่พักให้ 40% ประชาชนจ่ายเอง 60% และแจกบัตรกำนัลดิจิทัล (อีวอเชอร์) อีกคืนละ 600 บาท รวมทั้งการจองตั๋วเครื่องบิน 2 ล้านใบ ซึ่งรัฐจะคืนเงินให้กลับ 40%
นอกจากนี้ยังมี “แพกเกจกำลังใจ” โดยรัฐบาลจะสนับสนุนค่าใช้จ่ายให้เที่ยวในประเทศ 2 วัน 1 คืน คนละไม่เกิน 2,000 บาท ขณะที่รัฐก็หาแนวทางช่วยเหลือกลุ่มผู้ให้บริการที่พัก ด้วยการเปิดกว้างให้ผู้ประกอบการเข้าร่วมโครงการ ส่งผลให้โรงแรมทั่วประเทศเตรียมเปิดรับนักท่องเที่ยว ซึ่งเดือน ก.ค.ผู้ให้บริการโรงแรมจะเปิดให้บริการ 60-70% และจากการปลดล็อกเฟส 6 สายการบินต่างๆ เริ่มปรับแผนการบินเข้าสู่ประเทศไทย โดยสายการบินสัญชาติไทยจะเริ่มทำการบินระหว่างประเทศตั้งแต่เดือน ส.ค.เป็นต้น และรัฐยังเตรียมออกแพกเกจ “เราเที่ยวด้วยกันเฟส 2 ” ซึ่งจะมีความชัดเจนสิ้นเดือนสิงหาคมนี้ พร้อมกับพิจารณาขยายระยะเวลาในการกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ ทั้งการกระตุ้นเที่ยวเมืองรอง และเที่ยววันธรรมดามากขึ้น อีกทั้งยกเว้นค่าธรรมเนียมสำหรับการประกอบธุรกิจโรงแรมปีละ 40 บาทต่อห้องพัก ที่กล่าวมาข้างต้น ถือเป็นการจุดพลุหุ้นกลุ่มโรงแรมโดยตรง ทำให้ราคาหุ้นตัวบิ๊กในกลุ่มนี้เขียวถ้วนหน้า
เมื่อวันที่ 4 ส.ค. หุ้นกลุ่มนี้ยังมีแรงซื้อเข้ามาต่อเนื่อง โดย MINT คึกคักตลอดวันเมื่อปิดตลาดราคาหุ้นอยู่ที่ 18.16 บาท เพิ่มขึ้น 70 สตางค์ มูลค่าซื้อขาย 1,490.77 ล้านบาท CENTEL ปิดที่ 23.40 บาท เพิ่มขึ้น 60 สตางค์ มูลค่าซื้อขาย 121.97 ล้านบาท AWC ปิดที่ 4 บาท เพิ่มขึ้น 16 สตางค์ มูลค่าซื้อขาย 238.95 ล้านบาท ERW ปิดที่ 3.36 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง มูลค่าซื้อขาย 28.89 ล้านบาท และ DTC ปิดที่ 6.95 บาท ลดลง 5 สตางค์ มูลค่าซื้อขาย 416.35 ล้านบาท แม้ว่าผลประกอบการไตรมาสแรกปีนี้เกือบทุกบริษัทประสบภาวะขาดทุนเพราะรับพิษโควิด-19 ที่ระบาดหนัก ไม่มีการเดินทาง ไม่มีกิจกรรมนอกสถานที่เหมือนที่เคย และเมื่อรัฐปลดล็อกพร้อมกระตุ้นให้ประชาชนออกมาท่องเที่ยวและจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ผู้ประกอบการโรงแรมจึงเตรียมรับมือและอัดโปรโมชันต่างๆ เพื่อดึงให้นักท่องเที่ยวหรือลูกค้าเข้าใช้บริการ อันหมายถึงรายได้ที่จะเข้ามา ทำให้กิจการฟื้น ผลประกอบการเติบโต โดยเฉพาะช่วงปลายปีถือเป็นช่วงไฮซีซันของการท่องเที่ยว
MINT ให้ส่วนลดพร้อมสิทธิประโยชน์ในเครือทั่วไทย
มร.โทมัส ไมเออร์ รองประธานอาวุโสฝ่ายปฏิบัติการ (เอเชีย) ของกลุ่มไมเนอร์ โฮเทลส์ ในเครือ MINT เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีโรงแรมจำนวนทั้งหมดมากกว่า 535 แห่ง ใน 56 ประเทศ โดยโรงแรมอนันตรา และโรงแรมอวานี ซึ่งเป็น 2 แบรนด์หลักของกลุ่มในไทย ได้ทยอยเปิดให้บริการหลังจากที่รัฐบาลคลายล็อกดาวน์ทั่วประเทศ พร้อมยกระดับมาตรฐานทางด้านสุขอนามัยและความปลอดภัยของโรงแรมในเครือเพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ทั้งพนักงาน และผู้ใช้บริการ
“นอกจากส่วนลดที่รัฐมอบให้แล้ว ทางโรงแรมยังจัดโปรโมชัน พร้อมสิทธิพิเศษอื่นๆ อีกมากมาย ผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดโปรโมชันและสิทธิพิเศษของแต่ละโรงแรมได้ทางเว็บไซต์ โดยสามารถสำรองห้องพักและใช้สิทธิ์ตามโครงการ ได้ตั้งแต่วันที่ 18 กรกฎาคม-31 ตุลาคมนี้”
ทั้งนี้ กลุ่มโรงแรมในเครือทยอยเปิดโรงแรมทั่วไทย พร้อมดึงเทคโนโลยี เสริมมาตรฐานทางด้านสุขอนามัยและความปลอดภัยสูงสุดในการให้บริการ โดยเปิดตัวมาตรการ “พักอย่างสบายใจ” ณ เครือโรงแรมอนันตรา และมาตรการ “อวานี ชิลด์” ณ เครือโรงแรมอวานี ซึ่งเป็น 2 แบรนด์โรงแรมหลักของกลุ่มในไทย เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ทั้งพนักงานและผู้ใช้บริการ พร้อมขานรับโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” เปิดรับสิทธิ์ส่วนลดค่าที่พักสูงสุดถึง 3,000 บาทต่อห้องต่อคืน และบัตรกำนัล เสริมด้วยโปรโมชันพิเศษสำหรับคนไทยและผู้ที่พำนักในประเทศไทย ที่มาพร้อมสิทธิประโยชน์มากมาย ณ โรงแรมในเครือทั่วไทย
CENTEL ชู 3 แคมเปญดึงนักท่องเที่ยว
กลุ่มโรงแรมและรีสอร์ตในเครือเซ็นทาราได้ร่วมสนับสนุนนโนบายรัฐด้วยการส่งโรงแรมหลายแห่งเข้าร่วมโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” พร้อมทั้งจัดโปรโมชันราคาห้องพักสุดพิเศษทั่วไทยตลอดระยะเวลา 4 เดือนของโครงการฯ ตั้งแต่วันนี้ จนถึง 31 ตุลาคม 2563 เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการฟื้นการท่องเที่ยวและกระตุ้นเศรษฐกิจในไทย โดยนอกเหนือจากรัฐมอบให้แล้วทางโรงแรมเซ็นทารายังได้จัดข้อเสนอสุดพิเศษอีกถึง 3 แคมเปญ เพื่อผลักดันการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจภายในประเทศ เช่น โปรโมชัน “Stronger Together” ห้องพักราคาพิเศษ เริ่มต้นเพียง 960 บาทต่อคืน และพิเศษยิ่งกว่าสำหรับการเข้าพักตั้งแต่ 4 คืนขึ้นไป จะได้รับฟรีแพกเกจอาหารเย็นตลอดการเข้าพัก อีกทั้งโปรโมชัน “Private Villa Escape” ที่เอาใจคนรักการท่องเที่ยวแบบส่วนตัว ด้วยส่วนลดสุดเอ็กซ์คลูซีฟสำหรับห้องพักประเภทพูลวิลลาที่มีสระน้ำส่วนตัวโดยเฉพาะ ในราคาเริ่มต้นเพียง 2,160 บาทต่อคืน พร้อมอาหารเช้าและอาหารเย็น และโปรโมชัน “Stay Happy & Healthy” แพกเกจห้องพักราคาพิเศษที่มาพร้อมทางเลือกเพื่อดูแลสุขภาพมากมาย อย่างคอร์ส AcuRelax ทรีตเมนต์ 60 นาที สำหรับ 2 ท่าน และอุปกรณ์ออกกำลังกายภายในห้องพักเพื่อการออกกำลังกายแบบส่วนตัว
DTC อัดแคมเปญ ราคาพิเศษ เน้นปลอดภัย
กลุ่มบริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) หรือ DTC ได้เข้าร่วมแคมเปญ “เราเที่ยวด้วยกัน” เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ โดยได้จัดโปรโมชันเพื่อตอบรับแคมเปญดังกล่าวด้วยห้องพักราคาพิเศษ เริ่มต้นเพียง 999 บาทสุทธิต่อคืน สำหรับ 2 ท่าน รวมถึงพร้อมมอบสิทธิพิเศษเพิ่มเติมอีกมากมายในช่วงวันธรรมดา (วันอาทิตย์-วันพฤหัสบดี) เมื่อจองผ่าน www.dusit.com เช่น อัปเกรดห้องพักฟรี, ส่วนลดสปา 40% และส่วนลดอาหารและเครื่องดื่ม 20% ซึ่งเปิดให้จองแล้วตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2563 (ตามเงื่อนไขของโรงแรม)
ทั้งนี้ DTC ได้เปิดให้บริการโรงแรมในประเทศไทยที่ดุสิตธานีเป็นเจ้าของเอง 3 แห่ง ตั้งแต่เฟสแรกเดือน มิ.ย. 63 คือ โรงแรมดุสิตธานี หัวหิน โรงแรมดุสิตธานี พัทยา และโรงแรมดุสิตธานี สวีท ราชดำริ กรุงเทพฯ ส่วนโรงแรมที่กลุ่มดุสิตธานีรับบริหารหรือเป็นแฟรนไชส์ทยอยกลับมาเปิดให้บริการอีกครั้ง เริ่มตั้งแต่เดือนกรกฎาคม และโรงแรมที่เหลือคือ โรงแรมดุสิตธานี ลากูน่าภูเก็ต โรงแรมดุสิตดีทู เชียงใหม่ โรงแรมดุสิตปริ๊นเซส เชียงใหม่ และโรงแรมดุสิต ปริ๊นเซส ศรีนครินทร์ ซึ่งมีฐานลูกค้าหลักเป็นนักธุรกิจและนักท่องเที่ยวต่างชาตินั้น อยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมและความชัดเจนอีกครั้ง โดยเฉพาะการคลายล็อกดาวน์ในระยะต่อไป ข้อจำกัดในการเดินทาง รวมถึงสถานการณ์ของ Travel Bubble
ERW เริ่มฟื้นตัว ทยอยเปิดให้บริการ
นายเพชร ไกรนุกูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ERW กล่าวว่า ในระยะแรกของการกลับมาเปิดให้บริการของกลุ่มโรงแรมฮ็อป อินน์ เมื่อเดือนพฤษภาคม และหลังจากรัฐผ่อนคลายมาตรการมากขึ้น ก็ทยอยเปิดให้บริการโรงแรมเมอร์เคียว และไอบิส ในพัทยา และโรงแรม ไอบิส หัวหิน ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดี และเดือนกรกฎาคมก็เริ่มเปิดให้บริการโรงแรมในระดับห้าดาว อย่าง แกรนด์ ไฮแอท และ เจดับบลิว แมริออท ในกรุงเทพฯ ตลอดจนโรงแรมขนาดกลาง ฮอลิเดย์ อินน์ พัทยา ตามด้วยกลุ่มโรงแรมราคาประหยัด ไอบิส สาทร และ ไอบิส ริเวอร์ไซด์ และเดือนสิงหาคม จะเปิดให้บริการโรงแรมครบทุกแห่งในประเทศไทย รวมทั้งโรงแรมฮ็อป อินน์ ที่อยู่ในฟิลิปปินส์ด้วย
ระยะแรกจะเน้นกลุ่มลูกค้าในประเทศเป็นหลัก และให้ความสำคัญต่อตลาดการท่องเที่ยวในประเทศและทำการตลาดผ่านช่องทางต่างๆ อย่างเข้มข้น รวมถึงสนับสนุนแคมเปญส่งเสริมการท่องเที่ยวของภาครัฐ เพื่อดึงดูดให้คนไทยออกมาใช้จ่ายด้านการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศ อันจะส่งผลถึงการกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศ และคาดว่าการเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศระยะทางสั้นจึงจะเริ่มฟื้นตัว ในขณะที่การเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศระยะไกลเช่น ยุโรป และสหรัฐฯ จะตามมาภายหลัง ขึ้นอยู่กับมาตรการจำกัดการเดินทางของแต่ละประเทศ
AWC มั่นใจมาตรการกระตุ้นท่องเที่ยวฟื้น
นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC เผยว่า ผลงานครึ่งปีหลังจะฟื้นตัวหลังรัฐผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์อย่างต่อเนื่อง ส่งผลบวกต่อการฟื้นตัวกลับมาของธุรกิจโรงแรมและศูนย์การค้า โดยเฉพาะธุรกิจโรงแรมที่จะกลับมาฟื้นขึ้นจากมาตรการกระตุ้นให้คนไทยท่องเที่ยวในประเทศ และโรงแรมที่อยู่ตามแหล่งท่องเที่ยวอย่าง หัวหิน เริ่มเห็นอัตราการเข้าพัก (OCC) กลับมาเพิ่มขึ้นเป็น 90-100% และวันธรรมดากลับมาอยู่ที่ 50% หลังจากลดลงไปอย่างในช่วงไตรมาสแรกและหายไปในช่วงล็อกดาวน์ ซึ่งบริษัทคาดว่าโรงแรมในกรุงเทพฯ และจังหวัดท่องเที่ยวอื่นๆ จะเริ่มฟื้นตัว ส่วนศูนย์การค้าทั้ง 9 แห่งเริ่มกลับมาเปิดให้บริการในช่วงแรกของการผ่อนคลายล็อกดาวน์ จำนวนผู้เข้ามาใช้บริการยังมีไม่มาก แต่เริ่มกลับมาดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของเดือน มิ.ย.เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะศูนย์การค้า เกตเวย์ เอกมัย ที่จำนวนผู้ใช้บริการกลับมาเพิ่มขึ้นใกล้เคียงกับช่วงปกติที่ประมาณกว่าหมื่นคนต่อวัน ขณะเดียวกัน บริษัทก็ยังคงบริหารจัดการต้นทุนและค่าใช้จ่ายให้มีประสิทธิภาพต่อเนื่อง ซึ่งช่วงที่ล็อกดาวน์ได้ปิดโรงแรมและศูนย์การค้า บริษัทลดค่าใช้จ่ายลงค่อนข้างมากเฉลี่ย 80%
ทั้งนี้ AWC เพื่อร่วมสนับสนุนโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” ด้วยการมอบส่วนลดสูงสุด 50% จากราคาห้องพักปกติ พร้อมด้วยส่วนลดพิเศษสูงสุด 20% สำหรับห้องอาหาร และสปาในโรงแรม ตามเงื่อนไขที่กำหนดเมื่อเข้าพัก ซึ่งแต่ละโรงแรมในเครือให้ส่วนลดแตกต่างกันไป นักท่องเที่ยวจองได้ถึง 31 ตุลาคม 2563
หากสนใจเปิดพอร์ตตลาดหุ้นไทย
สำหรับนักลงทุนที่สนใจเปิดพอร์ตตลาดหุ้นไทยกับ KTBST ขอคำปรึกษาได้ ที่นี่ เพราะ KTBST มีค่าธรรมเนียมต่ำ เป็น “ สถาบันการเงิน ” ในประเทศไทยที่มีความโดดเด่นในการให้บริการลูกค้า นอกจากนั้นยังเป็นตัวช่วยให้ผู้ถือหุ้น “เติบโตอย่างยั่งยืน” และมีส่วนช่วยสังคมในการ “ พัฒนาตลาดทุน ”
การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน
ที่มา : https://mgronline.com/stockmarket/detail/9630000080262
#CISThai
Line Official: https://lin.ee/jO65rNq
Website: https://connectthedotsth.com/
FB Fanpage: https://www.facebook.com/CreativeInvestmentSpace