หากคุณเป็นมนุษย์ธรรมดาทั่วไปที่เกิดมาต้องเคยป่วยสักครั้ง คุณอาจเคยเป็นลูกค้าของ เกร็ทเตอร์ฟาร์ม่า (Greater Pharma) มาแล้ว เพราะเขาเป็นบริษัทผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเวชภัณฑ์ยาและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ รวมถึงความงามระดับแถวหน้าของไทย ด้วยประสบการณ์กว่า 50 ปี มีผลิตภัณฑ์ตัวดังที่ใครเจ็บคอทีก็ต้องใช้ตลอดอย่าง “มายบาซิน โอทีซี” หรือจะอมเล่น ๆ แต่ดีต่อร่างกายอย่าง “มายเซพติค มายบาซิน ซิงค์” ซึ่งหลายคนน่าจะคุ้นเคยกันดี แต่คุณอาจจะยังไม่เคยรู้ว่าบริษัทผู้ผลิตยาเจ้าดังเลี้ยงทั้งแมลงสาบและไรฝุ่นเอาไว้ด้วย
เรื่องนี้อาจจะฟังดูขัดกันกับภาพลักษณ์ของผู้ผลิตยาที่ควรจะเข้มงวดเรื่องสุขอนามัยไร้สิ่งสกปรก แต่เกร็ทเตอร์ฟาร์ม่ากลับเลี้ยงเอาไว้ทั้งแมลงสาบและไรฝุ่น ซึ่งเป็นตัวแทนของเชื้อโรคและความสกปรกอย่างยิ่งในสายตาของผู้คน ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าเกร็ทเตอร์ฟาร์ม่าเขาหละหลวมหรือละเลยความสะอาดไป แต่ขอบอกเอาไว้เลยว่าเขาเลี้ยงไว้อย่างมิดชิด มีมาตรฐานรวมถึงมีเหตุผลที่ดีจนน่าทึ่ง
ซึ่งเหตุผลที่ว่าคือภูมิแพ้ คนไทยป่วยด้วยโรคภูมิแพ้มากถึงร้อยละ 20 หรือประมาณ 12 ล้านคน เพิ่มขึ้น 3-4 เท่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา โดยมีสารก่อภูมิแพ้หลักมาจากแมลงสาบและไรฝุ่น ซึ่งในปัจจุบันนับว่าเป็นยาที่จำเป็นอย่างมากแต่ยังเข้าถึงได้ยาก ทางเกร็ทเตอร์ฟาร์ม่าร์จึงร่วมกับคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลพัฒนาวัคซีนโรคภูมิแพ้ขึ้นมาจากไรฝุ่น และชุดทดสอบโรคภูมิแพ้ชนิดสะกิดผิวหนัง 10 ชนิด ได้แก่ ไรฝุ่น 2 สายพันธุ์ แมลงสาบ เชื้อรา หญ้าขน สุนัข แมว และวัชพืช
เกร็ทเตอร์ฟาร์ม่าพัฒนาตั้งแต่กระบวนการเพาะเลี้ยงแมลงสาบและไรฝุ่น สกัดสารสกัดสำคัญที่เป็นวัตถุดิบที่จำเพาะต่ออาการแพ้ของคนไทย ตลอดจนกระบวนการผลิตชุดทดสอบและวัคซีน นั่นทำให้เกร็ทเตอร์ฟาร์ม่าเป็นผู้ผลิตรายแรกและรายเดียวของอาเซียน รวมทั้งมีแผนในการพัฒนาวัคซีนโรคภูมิแพ้ชนิดพ่นจมูกเพื่อเป็นทางเลือกในการรักษาโรคภูมิแพ้ต่อไปในอนาคต
คุณ เชิญพร เต็งอำนวย กรรมการผู้จัดการ ของเกร็ทเตอร์ฟาร์ม่า กล่าวในงานแถลงข่าววันที่ 15 มีนาคม 2567 ว่าประเทศไทยมีหมอภูมิแพ้เก่ง ๆ เยอะ แต่ไม่มีผลิตภัณฑ์มารองรับ เมื่อมีผลิตภัณฑ์ที่มากพอก็จะสามารถพัฒนาต่อไปสู่การเป็น Medical Hub ของอาเซียนได้ ในปัจจุบันประเทศไทยยังต้องนำเข้ายาจากต่างประเทศมากราว 65% โดยการวิจัยและพัฒนาของเกร็ทเตอร์ฟาร์ม่าก็มุ่งหวังเพื่อจะลดการนำเข้านี้ แม้คุณเชิญพรจะบอกว่า “ถ้าจะเราจะผลิตชุดตรวจให้เพียงพอ ด้วยกำลังการผลิตในปัจจุบันคงต้องใช้เวลา 50 ปี” แต่ก็เป็นสัญญาณที่ดี
นอกจากนี้ เกร็ทเตอร์ฟาร์ม่ายังเป็นบริษัทแรกในอาเซียนที่เริ่มวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์กลุ่มการแพทย์ขั้นสูง NK Cell และนวัตกรรมสเต็มเซลล์ ที่เกร็ทเตอร์ฟาร์ม่าได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ซึ่งปัจจุบันเป็นเพียงรายเดียวในไทย
ในช่วงกลางปีนี้ทางเกร็ทเตอร์ฟาร์ม่าก็จะเป็นตัวแทนภาคเอกชนเข้าร่วมงาน CPHI South East Asia 2024 งานแสดงสินค้าเทคโนโลยี นวัตกรรมสำหรับอุตสาหกรรมยาแห่งเอเชีย มีเป้าหมายสำคัญเพื่อสร้างความมั่นคงให้สุขภาพและเศรษฐกิจไทย ร่วมขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ หรือ Medical Hub ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จัดแสดงคู่กับงาน Medlab Asia &Asia Health 2024 ครอบคลุมทั้งอุตสาหกรรมยาและอุปกรณ์ทางการแพทย์ ในคอนเซ็ปต์ “International Healthcare Week”
ซึ่งงานนี้ก็ยังมีเป้าหมายเพื่อสร้างมูลค่าธุรกิจยาและสุขภาพของไทยตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ทางเกร็ทเตอร์ฟาร์ม่ามุ่งมั่นจะเป็นบริษัทชั้นนำของอาเซียนในการพัฒนานวัตกรรมด้านสุขภาพและความงาม โดยผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ ตอบโจทย์ปัญหาสุขภาพของคนไทย ให้ผู้บริโภคชาวไทยเข้าถึงผลิตภัณฑ์คุณภาพในราคาที่ยุติธรรม ทดแทนการนำเข้าและสร้างผลกำไรกับคู่ค้าอย่างยั่งยืน”
ใครที่สนใจก็สามารถไปเยี่ยมชมงาน CPHI South East Asia 2024 ได้ในวันที่ 10-12 กรกฎาคม 2567 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์