ข่าวร้ายน่าใจหายสำหรับแฟนซีรีส์ ‘Friends’ คือการจากไปของนักแสดง ‘แมตธิว เพอร์รี (Mattew Perry)’ วัย 54 ปี ผู้รับบท ‘แชนด์เลอร์ (Chandler)’ ทำให้ทั้งนักแสดงร่วม ทีมงาน และแฟน ๆ ของซีรีส์ต่างใจสลาย เพราะด้วยความผูกพันที่คนดูมีต่อซีรีส์ก็ทำให้หลายคนรู้สึกว่าแชนด์เลอร์เป็นเพื่อนคนหนึ่งของเราเหมือนกัน ทางทีมงาน Connect the Dots เอง ขอแสดงความเสียใจต่อการจากไปมา ณ ที่นี้ด้วย
Friends คือหนึ่งในทีวีซีรีส์ที่มีอิทธิพลมากที่สุดในโลก ยังคงเชื่อมโยงถึงผู้ชมในวันวานและปัจจุบันได้เป็นอย่างดี จนทำให้ทีวีซีรีส์เรื่องนี้กลายเป็น Pop Culture ระดับโลกที่อยู่มานานเกือบ 30 ปี แม้ยุคสมัยจะเปลี่ยนไป ยังมีการนำมาฉายรีรันอยู่เสมอตั้งแต่ซีรีส์จบลงในปี 2004 หลังออกอากาศมา 10 ซีซัน และสร้างรายได้ให้กับ Warner Bros. กว่าปีละ 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ความสำเร็จของซีรีส์ยังส่งผลให้กลุ่มนักแสดงหลักกลายเป็นหนึ่งในกลุ่มนักแสดงซีรีส์ที่มีค่าตัวมากที่สุดในโลกด้วย โดยในช่วงซีซันท้าย ๆ แต่ละคนได้ค่าตัวตอนละ 1 ล้านเหรียญเลย
แล้วอะไรกันคือสิ่งที่ทำให้ Friends ไม่ใช่แค่ซีรีส์ดี ๆ เรื่องหนึ่ง แต่เป็นตัวแทนของวัฒนธรรมระดับสากล ที่เอาชนะทั้งพรหมแดนและกาลเวลาได้
Friends ออกอากาศครั้งแรกในปี 1994 ถ่ายทอดเรื่องราวความสัมพันธ์ของกลุ่มเพื่อนที่อยู่เคียงข้างกันในช่วงเวลาต่าง ๆ ของชีวิตวัยทำงานในยุคปลายศตวรรษที่ 20 ผ่าน 6 ตัวละครหลักอย่าง แชนด์เลอร์ (Chandler), โจอี (Joey), รอสส์ (Ross), โมนิกา (Monica), ราเชล (Rachel), และ ฟีบี (Phoebe)
กลิ่นอายของเมืองใหญ่ ชีวิตผู้ใหญ่ และมิตรภาพ
หนึ่งในปัจจัยหลักที่ทำให้ Friends กลายเป็น Pop Culture คือ ความเชื่อมโยงของเรื่องราว ฉากหลังในมหานครนิวยอร์ก คือ สถานที่ที่ 6 เพื่อนซี้พบปะและอาศัยอยู่ ถ่ายทอดเรื่องราวของการใช้ชีวิตและความเป็นผู้ใหญ่ นี่คือจุดเชื่อมโยงถึงผู้ชมจากทั่วโลก ซึ่งพวกเขาสามารถเห็นองค์ประกอบต่าง ๆ ที่ชวนให้นึกถึงเรื่องราวของตัวเองและเพื่อน ๆ ในรูปแบบที่คล้ายกันกับตัวละครในจอ
ตัวละครทุกตัวล้วนแตกต่าง แต่ก็เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์อันน่าหลงใหล ทั้งนิสัยใจคอและบุคลิกภาพอันโดดเด่น ก็ทำให้เรามักเชื่อมโยงพฤติกรรมและลักษณะต่าง ๆ ของพวกเขากับคนรอบตัวได้อยู่เสมอ ตัวละครเหล่านี้จึงไม่ใช่แค่ตัวละคร แต่ยังเป็นภาพสะท้อนถึงเพื่อน ๆ ที่เราคุ้นเคย มิตรภาพที่อบอุ่นและอบอวลของเพื่อนกลุ่มนี้จึงเป็นสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของผู้ชมอย่างมาก
จุดแฮงเอาต์ที่คุ้นตาของเรื่องอย่าง ร้านเซ็นทรัลเปิร์ก (Central Perk) เป็นตัวแทนของการอยู่ร่วมกันและสายสัมพันธ์ของผู้คน โซฟาสีส้มในร้าน ที่นั่งประจำของกลุ่มเพื่อนซี้ เอาไว้นั่งจิบกาแฟ พูดคุย และแลกเปลี่ยนเรื่องราวในชีวิต ก็กลายเป็นหนึ่งเฟอร์นิเจอร์ที่โดดเด่นที่สุดชิ้นหนึ่ง บรรยากาศสุดอบอุ่นและเหล่าลูกค้านี่น่าจดจำก็ทำให้คนดูรู้สึกเหมือนเป็นบ้านหลังที่สอง
เอาชนะทั้งเวลาและพรหมแดน
“เพื่อนจะอยู่กับคุณเสมอ” คือ สิ่งที่ซีรีส์ต้องการจะสื่อถึงผู้ชมผ่านตัวละครหลักทั้ง 6 เรื่องราวของ “เพื่อน” คือ ธีมที่ครอบคลุมความสนุกสนานและความมีหัวจิตหัวใจในระดับสากล ไม่ได้จำกัดแค่ชาติใดเท่านั้น จึงเข้าถึงผู้ชมได้ทั่วโลก ความรักความสัมพันธ์ที่ปะปนทั้งร้ายดี เรื่องราวซับซ้อนของการอยู่เป็นครอบครัว ความท้าทายในหน้าการงาน และการเติบโต ล้วนถูกถ่ายทอดออกมาในซีรีส์ ซึ่งเรื่องที่คุ้นเคยเหล่านี้เป็นอะไรที่เรายังคงต้องพบเจอในทุกยุคสมัย ทำให้ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ผู้ชมรุ่นใหม่ ๆ ก็ยังคงเพลิดเพลินกับเรื่องราวของของเพื่อน ๆ กลุ่มนี้ได้ไม่ต่างกัน
อีกปัจจัยที่หนุนให้ซีรีส์เรื่องนี้เข้าถึงผู้ชมได้ทั่วโลกคือ ภาษาอังกฤษ ซึ่งมีคนพูดกว่าพันล้านคนทั่วโลก และในประเทศที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักก็มีการทำซับไตเติลอยู่แล้ว มุกตลกหลายอย่างก็ออกแบบมาให้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับภาษาเท่านั้น เรื่องภาษาจึงไม่ใช่อุปสรรค และยังเป็นโอกาสอีกด้วย เพราะผู้ชมในหลายประเทศเลือกจะใช้ Friends เป็นเครื่องมือฝึกภาษาอังกฤษ อย่าง Rap Monster วง BTS ก็พูดอังกฤษได้คล่องปรื๋อ เพราะซีรีส์เรื่องนี้ เพราะนอกจากจะเข้าใจภาษาแล้วยังช่วยให้เข้าใจบริบทการใช้ที่หลากหลายในชีวิตจีงอีกด้วย Friends จึงได้รับความนิยมจากผู้ชมทั่วโลก
การาเอามาฉายรีรันยังสร้างความนิยมของ Friends ได้เป็นอย่างดี เปิดโอกาสให้ผู้ชมรุ่นใหม่ได้รู้จักซีรีส์ผ่านช่องทางสตรีมมิงต่าง ๆ ได้ลองสัมผัสกับกลิ่นอายความบันเทิงของยุค 90s และยังทำให้ผู้ใหญ่ที่เติบโตมากับซีรีส์ได้หวนนึกถึงความหลังในวันวานอีกครั้ง เป็นเซฟโซนที่กลับมาดูเมื่อไรก็อบอุ่นหัวใจอยู่เสมอ และทำให้เห็นว่า เวลาไม่สามารถทำให้ความนิยมของ Friends นั้นจางหายได้เลย
อิทธิพล Pop Culture
Friends เป็นซีรีส์ที่ขึ้นชื่อในการสร้างวลีเด็ดหรือมุกตลกสั้น ๆ ให้คนดูได้จดจำและหัวเราะทุกครั้งที่นึกถึง ไม่ว่าจะเป็น “Could I BE any more…?” ที่แชนด์เลอร์พูดอยู่บ่อยครั้ง หรือจะเป็น“How you doin?” ด้วยน้ำเสียงหว่านเสนห์ของโจอี้ หรือ “We were on a break!” ของรอสส์ ที่สื่อว่าเขากับราเชลอยู่ในช่วงพักความสัมพันธ์ในตอนที่เขานอนกับผู้หญิงคนอื่น ซึ่งก็ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันถึงทุกวันนี้ว่า “พวกเขาพักความสัมพันธ์กันจริงไหม แล้วที่รอสส์ทำถือว่านอกใจหรือเปล่า” โดยวลีเด็ดเหล่านี้กลายเป็นสิ่งที่ผู้คนมากมายนำมาใช้ในชีวิตจริงกันจนเป็นเรื่องปกติ แต่ก็สะท้อนถึงอิทธิพลของซีรีส์ได้เป็นอย่างดี
นอกจากนี้ Friends ยังกลายเป็น Pop Culture ด้วยองค์ประกอบร่วมสมัยหลากหลายอย่าง ทั้งแฟชั่น การใช้ชีวิต และค่านิยมต่างๆ อย่างเช่น ทรงผมที่เป็นเอกลักษณ์ของราเชล เพลง “Smelly Cat” ของฟีบี แม้กระทั่งนำเสนอแนวคิดเรื่อง “Friends with Benefits” หรือ “เพื่อนกันมันส์ดี” ให้เป็นที่แพร่หลายในสังคมมากขึ้นด้วย นอกจากนี้ยังทำให้ร้านกาแฟได้รับความนิยมสำหรับการพบปะพูดคุย มากกว่าแค่เข้าไปซื้อกาแฟแก้ง่วงเท่านั้น และร้าน Central Perk ของจริงก็กำลังจะเปิดตัวเร็ว ๆ นี้ที่บอสตันด้วย
อีกทั้ง Friends ยังสะท้อนถึงกลิ่นอายยุค 90s-2000s ในแง่ของวัฒนธรรมก็นับว่าเป็นช่วงเวลาที่น่าจดจำของผู้ใหญ่ และยังเป็นยุคสมัยที่น่าหลงใหลสำหรับคนรุ่นใหม่ จึงทำให้ใคร ๆ ก็ชื่นชอบสิ่งที่ Friends มอบให้มากกว่าแค่เรื่องราวในจอ
ความสำเร็จของ Friends ยังเป็นต้นแบบของทีวีซีรีส์หลายเรื่องที่ตามมาหลังจากนั้น ไม่ว่าจะเป็น ‘How I Met Your Mother’ หรือ ‘The Big Bang Theory’ ที่ได้รับความนิยมอยู่ไม่น้อย อาจเรียกได้ว่าเป็นตัวอย่างของซีรีส์รอมคอมชั้นดี
ตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงทุกวันนี้ Friends กลายเป็นปรากฏการณ์ Pop Culture ระดับโลกได้ ด้วยธีมที่เชื่อมโยงกับผู้ชมทั่วโลกอย่างมิตรภาพ ความรัก และการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ผ่านตัวละครหลากหลายที่ชวนให้นึกถึงเพื่อนข้างกายและเรื่องราวที่ยังคงเสน่ห์ได้ในทุกยุคสมัย อิทธิพล ค่านิยม องค์ประกอบต่าง ๆ และหัวจิตหัวใจของเรื่อง ประกอบขึ้นมาเป็นวัฒนธรรมที่ก้าวข้ามทุกพรหมแดน กลายเป็นมากกว่าทีวีซีรีส์ แต่เป็นเหมือนจารึกสำคัญทางวัฒนธรรมที่จะอยู่ในสายตาและหัวใจของผู้ชมต่อไปอีกนาน
ที่มา: https://screenrant.com/friends-how-much-did-cast-make…/…
https://www.thatspopculture.com/why-friends-is-the…
https://www.refinery29.com/…/friends-we-were-on-a-break…
https://www.washingtonpost.com/…/friends-premiered…/
https://www.theguardian.com/…/friends-taught-world…