คุณค่าหรือมูลค่าของอะไรบางอย่างบนโลกขึ้นอยู่กับอะไร?
จริงๆ แล้วทุกอย่างบนโลกไม่ได้มีมูลค่าอะไรเลย ไม่แม้แต่ทอง เพชร หรือเงินสดที่เราถือกัน แต่ขึ้นอยู่กับ “ใคร” เห็น “คุณค่า” อะไรในสิ่งนั้น อย่างตอนที่แวนโก๊ะมีชีวิตอยู่ เขาสามารถขายภาพได้แค่เพียงภาพเดียว ให้กับพี่ชายของตัวเอง แต่ในปัจจุบันรูปภาพของเขามีมูลค่าถึง 20 ล้าน เพราะมีคนเห็นคุณค่าของงานศิลปะ ทุกอย่างจึงขึ้นอยู่กับว่า คนเห็นคุณค่าแค่ไหน
เช่นเดียวกับในสกุลเงินดิจิทัล ปัจจุบันมีคนเทรดอยู่ประมาณ 560 ล้านคน เป็นชุมชนขนาดใหญ่ และแต่ละคนที่ลงทุน ไม่ว่าจะเป็นรายใหญ่หรือรายย่อย ล้วนให้มูลค่าตรงนี้สูงมาก
ย้อนดูการเสื่อมถอยของมูลค่าเงินที่ผ่านมา จากมูลค่าบ้านกับรายได้ครัวเรือน
ในยุคของเบบี้บูมเมอร์ รายได้ครัวเรือนโดยเฉลี่ย 20,000 กว่าดอลลาร์ มูลค่าบ้านโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 80,000 ดอลลาร์
ต่อมาในยุคของมิลเลเนียล รายได้ครัวเรือนขยับขึ้นเป็น 74,000 ดอลลาร์ แต่มูลค่าบ้านขึ้นไปถึง 468,000 ดอลลาร์
จากเดิมที่ราคาบ้านสูงกว่ารายได้ครัวเรือนแค่ประมาณ 3 เท่า แต่ในยุคมิลเลเนียลส์กลับสูงถึง 6 เท่า ราคาของทุกอย่างแพงขึ้นแต่รายได้เราโตไม่ทัน ที่อเมริกามีอัตราการเติบโตของค่าจ้างสูงที่สุดในโลกถึง 26% แต่หากเทียบดูประเทศอื่น ๆ อย่าง ญี่ปุ่น อิตาลี แทบไม่ขึ้นเลยในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา
แต่หากเทียบดูในฝั่งของบิตคอยน์
ปี 2016 มูลค่าบ้าน 280,000 ดอลลาร์ ใช้ 264 บิตคอยน์ซื้อ
ปี 2020 ใช้ 45 บิตคอยน์
ปี 2024 6.6 บิตคอยน์
ในปี 2032 คุณอาจซื้อบ้าน 1 หลังด้วย 1 บิตคอยน์เท่านั้น เพราะมูลค่าของบิตคอยน์สูงขึ้นเรื่อย ๆ
ยุคสมัยของการลงทุนที่แตกต่าง
นี่คือสิ่งที่เราต้องยอมรับว่าคนแต่ละรุ่นโตมาในยุคสมัยของการลงทุนที่แตกต่างกัน
บูมเมอร์ เน้นลงทุนในสินทรัพย์ที่จับต้องได้ อย่างทอง อสังหาริมทรัพย์ และหุ้นที่น่าเชื่อถือใน S&P500
Gen X สนใจหุ้นเทคโนโลยีมากขึ้น ลงทุนในกลุ่มหุ้นเทคฯ ใน Nasdaq
มิลเลเนียลส์ เริ่มให้ความสำคัญกับซอฟต์แวร์และไฟแนนซ์ ลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล บิตคอยน์ อีธีเรียม
กลุ่มซูมเมอร์ จะชื่นชอบมีมคอยน์เป็นพิเศษ เพราะสร้างขึ้นมาเพื่อความสนุก แต่พอคนเทรดเยอะขึ้น มูลค่าก็สูงขึ้นตาม
สินทรัพย์ทั่วโลกในปัจจุบันมีอยู่กว่า 900 ล้านล้านดอลลาร์ ตลาดคริปโตมีมูลค่าเพียง 2.5 ล้านล้านดอลลาร์ เพียง 0.25% ของสินทรัพย์ทั้งหมดบนโลก น้อยกว่ามูลค่าหุ้น Apple หรือ Nvidia ด้วยซ้ำ นั่นหมายความว่าคริปโตยังมีพื้นที่ให้เติบโตอีกเยอะ
มูลค่าของบิตคอยน์เติบโตตาม Global Liquidity หรือสภาพคล่องทั่วโลกอยู่เสมอ เพราะเมื่อมีเงินมากขึ้น คนเริ่มไม่อยากเก็บเงินสด นำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ รวมถึงบิตคอยน์ ซึ่งหลายคนมองว่าคริปโตให้ผลตอบแทนค่อนข้างเร็วและสูง บิตคอยน์ก็เติบโตได้เหมือนเป็น “Alien Asset”
ที่เป็น Alien Asset เพราะบิตคอยน์เป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยมากที่สุดในโลก ในช่วงเวลา 13 ปี เติบโตเฉลี่ยปีละ 143% แต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้ขึ้นทุกปี บางปีก็ลงหนัก 60-70% ดังนั้นการซื้อและถือยาว จะให้ผลตอบแทนดีที่สุด แต่ไม่ศึกษาตลาดให้ดี ตามตลาดตลอดเวลา พอราคาร่วงแล้วกลัวจนขายทิ้ง มูลค่าก็จะหายไป เป็นเหตุให้หลายคนสูญเสียจากการลงทุนในคริปโต
ปัจจุบันนักลงทุนสถาบันการเงินระดับโลกอย่าง BlackRock ก็หันมาลงทุนในบิตคอยน์มหาศาลเพราะน่าจะเห็นโอกาสในการเติบโตบางอย่าง
แนวทางการลงทุนในคริปโต
1. บิตคอยน์ ยังไงก็เป็น King of Coins ควรมีติดพอร์ตไว้บ้าง อาจเลือกบิตคอยน์ 90% ของสินทรัพย์ดิจิทัล เพื่อความปลอดภัย
2. ซื้อและถือให้ยาว อย่างหวังรวยเร็ว เพราะต่อให้มันขึ้นคุณก็ไม่ขาย
3. 5% อาจเลือกลงทุนในเหรียญมีมคอยน์ เพื่อเกาะไปตามกระแส แต่ต้องดูให้ดีว่าเหรียญทำอะไร มีคนใช้เยอะแค่ไหน
4. อีก 5% อาจลงทุนในเหรียญ/โปรเจ็กต์ใหม่ ๆ ตามความสนใจ
5. รับมือกับความผันผวนและเพิ่มทุนต่อไปเมื่อเกิดการปรับฐาน
สุดท้ายเวลาจะลงทุนอะไรอย่าศึกษาหาข้อมูลให้ละเอียดอยู่เสมอ เพราะเงินมันออกจากกระเป๋าเราง่าย แต่เอากลับเข้ามายาก
ที่มา: ดร.กร พูนศิริวงศ์, Work Life Festival 2024