CTD - Connect the Dots
  • Home
  • Business
  • People
  • Investment
  • Opinion
  • CIS
  • News
    • News
    • Sustainable
  • Contact
    • Contact
    • About Us
Reading: ดัชนีวัดความกลัวและความโลภของตลาด
Share
CTD - Connect the Dots
Aa
  • Home
  • Business
  • People
  • Investment
  • Opinion
  • CIS
  • News
  • Contact
Search
  • Home
  • Business
  • People
  • Investment
  • Opinion
  • CIS
  • News
    • News
    • Sustainable
  • Contact
    • Contact
    • About Us
Follow US
Copyright © 2020 Creative Investment Space – All Rights Reserved
CTD - Connect the Dots > Blog > Investment (Closed) > ดัชนีวัดความกลัวและความโลภของตลาด
Investment (Closed)

ดัชนีวัดความกลัวและความโลภของตลาด

connectthedots admin
Last updated: 2023/07/01 at 5:24 AM
connectthedots admin Published August 13, 2022
Share

ในตลาดทุน ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้นหรือตราสารหนี้ สิ่งที่ขับเคลื่อนความเปลี่ยนแปลงของราคาของสินทรัพย์ต่างๆ นอกจาก ‘ความต้องการ’ (Demand ) และ ‘การผลิต’ หรือ ‘อุปสงค์’ (supply) แล้วยังมีปัจจัย ที่เราเรียกว่า ‘Fear กับ Greed ‘

Contents
ความโลภ (Greed) ความกลัว (Fear)ประโยชน์และการนำเอาไปใช้ 

.

ซึ่งความกลัว (Fear) และความโลภ (Greed) เป็นอารมณ์ที่อยู่ในสัญชาตญาณของมนุษย์ และขับเคลื่อนอยู่เบื้องหลังตลาดทุนมาอย่างยาวนาน 

.

ความโลภ (Greed) 

ในนิยามทางการเงิน โดยส่วนใหญ่เริ่มต้นจาก สินค้า ผลิตภัณฑ์ หรือบริการ ที่เกิดขึ้นใหม่เพื่อมาแทนที่หรือช่วยเหลือ สินค้า ผลิตภัณฑ์ หรือบริการเก่า (Substitute – Disruptive ) และเมื่อสิ่งแทนที่เหล่านั้นเริ่มมีอิทธิพล ต่อนักลงทุน หรือมีผลกระทบกับการบริโภคในวงกว้าง อารมณ์ของความโลภ (Greed) ก็จะเริ่มเข้า ครอบงำตลาด

.

ในช่วง 1-2 ปี ที่ผ่านมาเราได้เห็นปรากฎการณ์ที่เรียกว่า FOMO หรือ Fear of Missing Out ในตลาด Cryptocurrency และสินทรัพย์ทรัพย์ดิจิตอลทั่วโลก นั่นคือการที่ นักลงทุนมีความกลัวที่จะพลาดโอกาสหลายๆ อย่าง เช่น ความกลัวที่จะพลาดข่าว กระแส รวมถึงเทรนด์ต่างๆ ที่คนอื่นรู้แต่เรากลับไม่รู้ เป็นกลัวที่จะ ‘ตกรถ’ หรือลงทุนไม่ทัน

.

ซึ่งส่งผลทำให้สินทรัพย์ดังกล่าว เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและกลายเป็น ‘ฟองสบู่’ ของความโลภจนกระทั่ง ราคาของ Cryptocurrency ร่วงลงมากกว่า -70% ณ ราคาปัจจุบัน ( 7 กค 2565) 

ความกลัว (Fear)

ในนิยามของการเงิน เป็นผลต่อเนื่องหลังจากความโลภอ่อนแรงลง 

.

กลไกลของความกลัวเริ่มจากคนกลุ่มนึงที่ ที่เป็นผู้เชียวชาญ นักวิเคราะห์ หรือนักลงทุนสถาบัน และรายใหญ่ เริ่มตั้งข้อสงสัยกับราคา ที่เริ่มเปลี่ยนแปลงสูงขึ้นอย่างผิดปกติ (Pricing Mismatch) และเมื่อคนกลุ่มดังกล่าว พบหลักฐานและความเป็นจริงที่ผิดปกติของราคาสินทรัพย์ ตลาดก็จะเริ่มซึมซับ ข่าวร้ายในวงแคบ ก่อนจะขยายเป็นวงกว้าง จนกระทั่งราคาสินทรัพย์ดังกล่าวกลับมาสู่จุดเริ่มต้น หรือ อาจจะทำให้สินทรัพย์นั้นล้มละลาย และหายไปจากสาระบบของตลาดทุน เช่น ปรากฏการณ์ชองเหรียญ UST ในตลาด Cryptocurrency 

.

แล้วถ้าเราเป็นนักลงทุน เราจะสามารถติดตาม มาตราวัดของความโลภ และความกลัวของตลาดได้อย่างไร? 

.

ดัชนีความกลัวและความโลภ ถูกพัฒนาด้วย CNNMoney ที่เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการวัดความความโลภและความกลัวของตลาดทุน โดย ที่ตลาดที่เป็นตัวแทนในการคำนวณของของ Fear and Index คือ S&P500

.

หลักในการคำนวณของดัชนี Fear and Greed Index ใช้ปัจจัยอยู่ 7 อย่างในการคิด 

.

1. Stock price Momentum

เป็นการคิดราคาของดัชนี S&P500 เทียบกับ เส้นราคาค่าเฉลี่ย 125 วัน หรือ 125-Moving Average (MA) 

.

2. Stock Price Strength

จำนวนหุ้นที่ขึ้นสูงกว่าราคา 52-week (1 ปี) เทียบกับจำนวนหุ้นที่ลงต่ำกว่าราคา 52-week ใน New York Stock Exchange (NYSE) คือ จำนวนหุ้นที่ทำจุด ต่ำสุด เทียบกับจำนวนหุ้นที่ทำจุดสูงสุดใหม่ในรอบปี ของ ณ วันนั้น 

.

3. Stock Price Breadth

วิเคราะห์เปรียบเทียบปริมาณ (Volume) การซื้อหุ้นที่ปรับตัวขึ้น เทียบกับปริมาณการขายของหุ้น ที่ปรับตัวลง 

.

4. Put and Call Options

เป็นการหาสัดส่วนของ Put Option ( สิทธิในตลาดขาลง) หารด้วย Call Option (สิทธิ์ในการซื้อตลาดขาขึ้น) หากตัวเลข Put / Call option ratio สูงขึ้น แสดงว่านักลงทุนมีการซื้อสิทธิ์ในตลาดขาลงมากกว่า Fear and Greed Index จะมีแนวโน้มต่ำไปทาง Fear 

.

5. Junk Bond Demand

เปรียบเทียบ yield spread ของ Investment Grade Bonds (ตราสารหนี้เสี่ยงต่ำ) กับ Junk Bonds (ตราสารหนี้เสี่ยงสูง) หากตัวเลข Credit Spread กว้างมากขึ้น หมายถึงตลาดเริ่มรับรู้ความเสี่ยงของการผิดรับชำระหนี้ของตราสารหนี้ ที่ไม่มีอันดับเครดิต ( Junk Bond ) มากขึ้น ทำให้ Demand ในฝั่งของ Investment grade นั้นสูงขึ้น ยิ่งทำให้ความต่างของผลตอบแทนตราสารหนี้ ทั้งดีและเสียยิ่งมีมากขึ้น เพราะฉะนั้นจะทำให้ Fear and greed index นั้น ปรับไปในแนวโน้มที่มีค่าความกลัวมากขึ้น 

.

6. Market Volatility

เก็บตัวเลขจาก Cboe’s Volatility Index (VIX) เส้นค่าเฉลี่ย 50-วัน MA หรือ Volatility Index ซึ่งบ่งชี้ความผันผวนของตลาด ยิ่งมีค่ามาก ตลาดก็จะมีความผันผวนสูง ไปในทางลบ ในทางกลับกัน หาก VIX มีค่าต่ำ ตลาดก็จะมีความมั่นใจในการลงทุนมากขึ้น 

.

7. Safe Haven Demand

เปรียบเทียบผลตอบแทนของ stock เทียบกับ bond ปกติแล้ว หุ้นจะให้ผลตอบแทนดีกว่า bond แต่ถ้าเริ่มลงมาต่ำกว่า แสดงว่านักลงทุนเริ่มกลัวความเสี่ยง จึงเริ่มขายหุ้นออกไป

.

ตัวเลขทั้ง 7 ตัวนี้จะถูกนำมาเปลี่ยนเป็นสเกลตั้งแต่ 0-100 แล้วเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักแบบเท่าๆ กัน จนได้ออกมาเป็นตัวเลขสุดท้าย คือ Fear & Greed Index ซึ่งถ้าได้ค่าเท่ากับ 50 แสดงว่าตลาดอยู่ในสภาวะ Neutral ส่วนถ้ายิ่งน้อยก็ยิ่ง Fear ยิ่งมากก็ยิ่ง Greed

 .

ประโยชน์และการนำเอาไปใช้ 

ในช่วงของการล่มสลายของ Lehmann Brother ในปี 2008 ช่วงวิกฤต Subprime แสดงให้เห็นว่าดัชนีความกลัวและความโลภมักเป็นตัวบ่งชี้ที่เชื่อถือได้ของการกลับตัวของตลาดตราสารทุน ดัชนีร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดที่ 12 ในเดือนกันยายน 2008 เมื่อ S&P 500 ร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 3 ปี ภายหลังการล้มละลายของ Lehman Brothers และ AIG ยักษ์ใหญ่ด้านประกันภัยที่เกือบจะล้มละลาย  

.

ในทางตรงกันข้าม Fear and Greed Index ก็บ่งชี้ว่า มี ความมั่นใจของ Fear and Greed Index เพิ่มขึ้น ในเดือนกันยายน 2012 เนื่องจากตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวขึ้นตาม มาตรการผ่อนคลาย เชิงปริมาณรอบที่สามของธนาคารกลางสหรัฐ จนทำให้ตลาดหุ้สหรัฐกลับมาเป็นขาขึ้นอีก 4 ปี หลังจากนั้น 

.

แต่โดยท้ายที่สุดแล้ว ผู้เชี่ยวชาญหลายคนเห็นพ้องกันว่า ดัชนีความกลัวและความโลภเป็นตัวบ่งชี้ที่มีประโยชน์ หากว่าไม่ใช่เครื่องมือเดียวที่ใช้ในการตัดสินใจลงทุน นักลงทุนควรจับตาดู สภาวะเศรษฐกิจและอารมณ์ของตลาด หรือดัชนีชี้วัดทางเศรษฐกิจอื่นๆ ในหลายๆมิติ เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากโอกาสในการตัดสินใจในช่วงที่ตลาดมีความผันผวน ในการเลี่ยงการลงทุน หรือใช้หาจังหวะในการกลับเข้ามาลงทุนเมื่อตลาดมีความมั่นใจในหลายๆ ดัชนี 

Reference:

https://www.investopedia.com/terms/f/fear-and-greed-index.asp

https://edition.cnn.com/markets/fear-and-greed

https://dailycoin.com/

https://www.investopedia.com/articles/01/

You Might Also Like

“เอกา โกลบอล” ประเมินธุรกิจบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหาร รับมือนโยบาย ‘ทรัมป์’

Bitcoin ช่วยป้องกันเงินเฟ้อได้ดี ท่ามกลางการจัดระเบียบโลก

นโยบายประชานิยม กับดักความจน ตัวการพังเศรษฐกิจไทย?

TISA แนวคิดใหม่ของตลาดหลักทรัพย์ฯ “ซื้อหุ้น ได้ลดหย่อนภาษี” หวังช่วยหนุนตลาดหุ้นไทย

TAGGED: VI, การลงทุน, การลงทุนยุคใหม่, การลงทุนโลก, ตลาดหุ้น, นักลงทุน, บิทคอยน์, ลงทุน, สินทรัพย์, เซียนหุ้น, เทรดเดอร์, เศรษฐกิจ

Sign Up For Daily Newsletter

Be keep up! Get the latest breaking news delivered straight to your inbox.
By signing up, you agree to our Terms of Use and acknowledge the data practices in our Privacy Policy. You may unsubscribe at any time.
connectthedots admin August 13, 2022
Share this Article
Facebook Twitter Email Copy Link Print
Previous Article ตลาดทุน Q3 ปรับธีมรับศึกภาวะ ศก.ถดถอย
Next Article ทำไมเหรียญ Blockchain Layer1 ถึงน่าสนใจในการลงทุน?
CTD - Connect the Dots

Connect The dots ชุมชนสำหรับผู้ที่ชอบค้นหาโอกาสใหม่ พัฒนาตัวเองตลอดเวลา และเชื่อในโอกาสใหม่ๆ พื้นที่แลกเปลี่ยนความรู้ ไม่ว่าจะเป็นโลกธุรกิจ การลงทุน เทรนด์กระแส หรือ แม้กระทั่ง การเงินส่วนบุคคล ร่วมลากเส้น ต่อจุด เพื่อทุกความเป็นไปได้ไปกับเรา เพียงคุณเริ่มต้นที่จุดแรกไปกับเรา

Facebook Youtube Tiktok Spotify

แผนผังเว็บไซต์

Home
Business
People
News
Contact
Opinion
Investment
CIS
Sustainable
About Us

Copyright © 2024 Connect the Dots – All Rights Reserved

ข้อตกลงและเงื่อนไข

คำเตือนความเสี่ยงฉบับเต็ม

Removed from reading list

Undo
Welcome Back!

Sign in to your account

Lost your password?