ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) ได้ออกมาคาดการณ์ ว่า Fed จะยังคงดอกเบี้ยระดับ 4.25 – 4.50% จนถึงกลางปี 2568 ซึ่งนั่นจะเป็นการดันบอนด์ยิลด์ทรงตัวได้สูงสุดในรอบ 17 ปี พร้อมชี้อีกด้วย ว่ากลุ่มธนาคารของสหรัฐฯ จะได้รับอานิสงค์ ในขณะที่กลุ่มเทคโนโลยี รวมหุ้น “7 นางฟ้า” นั้น เสี่ยงถูกกดดัน
นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (Mr.Komsorn Prakobphol, Head of Economic Strategy Unit, TISCO Economic Strategy Unit) เปิดเผยว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีแนวโน้มคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 4.25 – 4.50% ไปจนถึงอย่างน้อยช่วงกลางปี 2568 นี้ และอาจทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปีของสหรัฐฯ (บอนด์ยิลด์) ทรงตัวอยู่ที่ 4.50 – 5.0% ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ ซึ่งเป็นระดับสูงที่สุดนับตั้งแต่วิกฤติซับไพรม์ปี 2551 จากประเด็นดังกล่าวส่งผลบวกโดยตรงกับหุ้นกลุ่มธนาคารในสหรัฐฯ ที่จะได้รับประโยชน์จากรายได้ดอกเบี้ยรับที่เพิ่มขึ้น แต่กดดันตลาดหุ้นโลกโดยรวม โดยเฉพาะหุ้นที่ซื้อขายด้วยมูลค่า (Valuation) สูง
“บอนด์ยิลด์ที่ทรงตัวในระดับสูงจะกดดันตลาดหุ้นโลก โดยเฉพาะหุ้นที่มี Valuation ในระดับที่แพงมาก โดยหุ้นสหรัฐฯ (S&P500) ซื้อขายด้วยระดับราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E) สูงถึง 21 เท่า โดยกลุ่มหุ้นที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุด ได้แก่ หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี และกลุ่ม “7 นางฟ้า” ที่ซื้อขายด้วยระดับสูงนั้นจะถูกกดดันมากเป็นพิเศษ ในทางกลับกันจะส่งผลบวกต่อหุ้นกลุ่มธนาคารสหรัฐฯ ที่จะได้รับอานิสงส์จากรายได้ดอกเบี้ยรับที่เพิ่มขึ้นตามบอนด์ยิลด์” นายคมศรกล่าว
สำหรับปัจจัยที่ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ มองว่า Fed จะยังคงอัตราดอกเบี้ยในระดับ 4.25 – 4.50% ไปจนถึงกลางปี 2568 มีดังนี้
เงินเฟ้อสูง – เศรษฐกิจยังคงแข็งแกร่ง
อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานของธนาคารกลางสหรัฐฯ ยังทรงตัวอยู่เหนือระดับเป้าหมาย 2% โดยอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในสหรัฐฯ นั้น ไม่ได้มีแนวโน้มปรับลดลงตั้งแต่กลางปีที่แล้ว และได้ทรงตัวอยู่ที่ระดับ 3.20 – 3.30% ต่อเนื่องเป็นเวลา 8 เดือน
ขณะที่ตลาดแรงงานในสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่ง โดยอัตราการว่างงานสหรัฐฯ ปรับตัวลดมาอยู่ที่ 4.10% ในเดือนธันวาคม ประกอบกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ยังแข็งแกร่ง ถือเป็นอุปสรรคต่อการลดดอกเบี้ยของ Fed และทำให้ตลาดต้องปรับคาดการณ์แนวโน้มดอกเบี้ยของ Fed เพิ่มขึ้น โดยก่อนหน้านี้ตลาดคาดว่า Fed จะลดดอกเบี้ยได้รวม 4 ครั้งในปี 2568 แต่ปัจจุบันตลาดคาดว่า Fed จะลดดอกเบี้ยได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น
ความไม่แน่นอนนโยบายกำแพงภาษีของทรัมป์
อีกหนึ่งปัจจัยที่อาจกระทบกับแนวโน้มดอกเบี้ย คือความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบายกำแพงภาษีของนายโดนัล ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ประกาศออกมาในช่วงหาเสียงว่า จะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนสูงถึง 60% และสินค้านำเข้าจากประเทศอื่น ๆ อีก 10% ซึ่ง TISCO ESU ประเมินว่า กำแพงภาษีดังกล่าวจะส่งผลให้เงินเฟ้อในสหรัฐฯ อาจเพิ่มขึ้นถึง 1.20% ซึ่งหากทรัมป์ดำเนินการตามที่หาเสียงจริง ๆ อาจส่งผลให้ Fed นอกจากจะไม่ลดดอกเบี้ยแล้ว ยังอาจต้องกลับมาขึ้นดอกเบี้ยแทนเสียด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตาม ในกรณีฐาน TISCO ESU ประเมินว่า ทรัมป์จะขึ้นกำแพงภาษีกับจีนเพียงครึ่งหนึ่งของที่ประกาศไว้ และจะขึ้นกำแพงภาษีจากทั่วโลกอีกเพียงเล็กน้อย ซึ่งจะทำให้ Fed สามารถลดดอกเบี้ยได้อีก 2 ครั้งในช่วงครึ่งปีหลังไปที่ระดับ 4% หลังจากที่การบังคับใช้กำแพงภาษีมีความชัดเจนแล้ว