“การใช้กำลังทางอากาศไปโจมตีเป้าหมายทางทหาร มันเข้าข่ายสงครามแล้ว แต่การปะทะตามแนวชายแดนทหารระหว่างทหาร เป็นการปะทะด้วยกำลังอาวุธ เราระวังที่สุดที่จะไม่กลายเป็นฝ่ายก้าวร้าว การที่เขายิงมาแล้วคนของเราตาย คือหลักฐานเชิงประจักษ์ที่เราจะวางนโยบายเราได้
กัมพูชาคือ ตลาด อยู่ดี ๆ เราไปทำลายตลาดเราเอง สุดท้ายคนอื่นมาค้าขายแทน” จักรภพ เพ็ญแข ตอบคำถาม น๊อต วรฤทธิ์ เฟื่องอารมณ์ พิธีกรรายการแฉ
ถ้าใครได้ดูรายการหรือติดตามคลิปย้อนหลัง คงจะเห็นแล้วว่า จักรภพ เพ็ญแข ถูกน๊อคเข้าอย่างจังกับคำถามที่เรียกว่า เหมือนพูดมาจากหัวใจคนไทยที่มีความรู้สึกอยากปกป้องอธิปไตยบนดินแดนขวานทอง
แล้วความหมาย “กัมพูชา คือ ตลาด” ที่จักรภพพูดถึงนั้น คืออะไร และมีนัยยะอะไรบ้าง
นับตั้งแต่เหตุปะทะกันระหว่างทหารไทย และกัมพูชา เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ที่เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราว จนบานปลายมาถึงปัจจุบัน นำมาซึ่งความสูญเสียคนไทยเสียชีวิต 13 รายและบาดเจ็บอีกจำนวนกว่า 30 ราย ยังไม่นับรวมการสูญเสียของด่านหน้านายทหารอีก 5 ชีวิต และแนวทางการรับมือ แก้ปัญหาที่ดูเหมือนจะไร้หลักของฝ่ายการเมือง ที่ดูเหมือนจะจับต้นชนปลายไม่ถูก เพราะผู้นำของอีกฝ่ายเปรียบเสมือน “อังเคิล” ที่มีความสนิทชิดเชื้อกับอดีตนายกรัฐมนตรี กลายเป็นว่าตอนนี้ ชีวิตคนไทยต้องฝากไว้กับแนวหน้าที่เป็นเหมือนรั้วของประเทศ ซึ่งแน่นอนว่า ให้ความรู้สึกอุ่นใจกว่า
ขณะที่จักรภพ เพ็ญแข ที่เพิ่งถูกแต่งตั้งให้นั่งตำแหน่งที่ปรึกษาของเลขาธิการนายกรัฐมนตรี มีหน้าที่ให้คำปรึกษาด้านการสื่อสารและประชาสัมพันธ์ของรัฐบาล หลังจากรับตำแหน่งเดินสายออกสื่อรายการโทรทัศน์แทบทุกช่อง โดยหวังสร้างภาพลักษณ์และสร้างคะแนนบวกของรัฐบาลให้กลับมา
ทว่า ถ้อยคำที่จักรภพ ตอบในรายการแฉเหมือนคนเมาหมัดมากกว่า รวมถึง “กัมพูชา คือ ตลาด และเรากำลังทำลายตลาดของเราเอง” ประเด็นนี้น่าจะหมายถึง มูลค่าการค้าชายแดนระหว่างไทยและกัมพูชาสูงหลักแสนล้านต่อปี โดยในปี 2567 การค้าระหว่างไทย-กัมพูชา มีมูลค่ารวมประมาณ 174,530 ล้านบาท สินค้าที่ไทยส่งออกไปกัมพูชา ได้แก่ สินค้าอุตสาหกรรมการเกษตร เช่น กากถั่วเหลืองและนมผงเด็ก นม UHT และนมถั่วเหลือง น้ำมันเชื้อเพลิง
หากการปะทะระหว่างสองประเทศยังคงดำเนินต่อไป และการค้าระหว่างประเทศหยุดชะงักจากมาตรการการปิดด่าน แน่นอนว่าไทยอาจจะสูญเสียมูลค่าจำนวนดังกล่าว ผู้ส่งออก บริษัทขนส่ง และธุรกิจที่อยู่ในอุตสาหกรรมส่งออก น่าจะได้รับผลกระทบ และเราอาจสูญเสียตลาดกัมพูชาให้แก่เวียดนาม หรือจีน
กระนั้น ไทยอาจจะต้องยอมรับการสูญเสียมูลค่าการค้าประมาณ 174,530 ล้านบาท หากความสัมพันธ์ระหว่างไทย กับ กัมพูชาไม่สามารถแก้ไขให้กลับมาดีดังเดิมได้ ตัวเลขนี้อาจจะไม่สามารถชดเชยได้ ผู้ประกอบการไทยควรมองหาตลาดใหม่ไว้รองรับความไม่แน่นอนในอนาคต
มาดูกันว่า ไทยมีมูลค่าการค้ากับประเทศเพื่อนบ้านในปี 2567 เป็นมูลค่าเท่าไหร่
การค้าชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้านทั้ง 4 ประเทศในปี 2567 ข้อมูลจากกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า มีมูลค่าการค้ารวม 976,921 ล้านบาท เป็นการส่งออก 602,132 ล้านบาท นำเข้า 374,789 ล้านบาท ไทยได้ดุลการค้ารวมทั้งสิ้น 227,343 ล้านบาท
และหากแยกเป็นรายประเทศ การค้าชายแดนกับมาเลเซีย มีมูลค่า 306,679 ล้านบาท สปป.ลาว มูลค่าการค้าอยู่ที่ 286,775 ล้านบาท เมียนมา 208,937 ล้านบาท และกัมพูชา มูลค่าการค้าอยู่ที่ 174,350 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ความต้องการและความนิยมในสินค้าไทยของชาวกัมพูชา น่าจะยังทำให้ไทยไม่ได้รับผลกระทบมากนัก แม้ว่าผู้นำกัมพูชาอาจจะต้องการตัดขาดความสัมพันธ์และรวมไปถึงการค้าระหว่างประเทศด้วย แต่นั่นจะกลายเป็นดาบสองคมให้แก่กัมพูชาเอง
เพราะนอกจากความนิยมและความต้องการในสินค้าไทยแล้ว น้ำมันเชื้อเพลิงที่ต้องซื้อจากไทยเป็นส่วนใหญ่ อาจสร้างผลกระทบต่อการดำเนินชีวิต ธุรกิจของประชาชนชาวกัมพูชา และท้ายที่สุดแรงกดดันจะย้อนกลับไปที่รัฐบาลกัมพูชา ที่บริหารงานผิดพลาดและทำให้ชีวิตของประชาชนในประเทศต้องพบกับความยากลำบาก
และมีความเป็นไปได้หากมีการปิดการค้าชายแดน ผู้นำเข้ากัมพูชาอาจจะต้องสั่งซื้อสินค้าไทยผ่านประเทศเพื่อนบ้าน เช่น สปป.ลาว ซึ่งจะต้องจ่ายค่าขนส่งเพิ่มขึ้น เมื่อต้องเป็นประเทศที่สามในการค้าระว่างประเทศ
นอกจากในแง่ของการค้าระหว่างประเทศแล้ว เศรษฐกิจแง่มุมอื่น ที่กัมพูชาต้องพึ่งพาไทยคือ ยึดไทยเป็นแหล่งงาน เนื่องจากเงินเดือนโดยเฉลี่ยในกัมพูชาอยู่ที่ประมาณ 7,000 บาทต่อเดือน แม้หลายคนจะกังวลว่าหากแรงงานกัมพูชาถูกเรียกตัวกลับประเทศ จะส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมของไทย เพราะไทยต้องพึ่งพาแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านในงานที่คนไทยไม่ทำ
แต่ผู้ประกอบการส่วนใหญ่คงคิดไปในทางเดียวกันว่า โอกาสน้อยมากที่แรงงานกัมพูชาจะตัดสินใจกลับประเทศ เพราะนอกจากไทยจะเป็นแหล่งสร้างงานสร้างเงินแล้ว ระบบสาธารณะสุขของไทยนับว่ามีคุณภาพสูงกว่ากัมพูชา และตัวเลขการเข้ารับบริการด้านสุขภาพของคนกัมพูชาในไทยจำนวน 160,000 ครั้ง และค่าใช้จ่ายที่เรียกเก็บไม่ได้สูงถึง 277 ล้านบาท น่าจะตอบได้ชัดเจนแล้วว่า น้ำหนักของการพึ่งพาอยู่ที่ฝ่ายใด