จากการที่ตลาดหุ้น Dow Jones เมื่อคืน (7 มี.ค.) ปิดบวก 485 จุด (+1.1%) ส่งผลทำให้นักลงทุนคลายกังวลวิตกเกี่ยวกับสงครามการค้าหลังมีรายงานว่าทรัมป์ตัดสินใจเลื่อนเวลาเรียกเก็บภาษีรถยนต์จาก Mexico , Canada ส่วนในด้านของราคาน้ำมันดิบ BRT ปิดลบ 2.5% หลังสหรัฐฯเผยสต็อกน้ำมันดิบมากกว่าที่ตลาดได้คาดการณ์ไว้
เมื่อคืนวันที่ 7 มีนาคม 2025 ที่ผ่านมา สหรัฐฯได้รายงานตัวเลขเศรษฐกิจประกอบไปด้วย (1) การจ้างงานภาคเอกชนจากสถาบัน ADP พบว่าอยู่ที่ 7.7 หมื่นราย ซึ่งถือว่าแย่กว่าที่นักวิเคราะห์ประเมินไว้ที่ 1.41 แสนราย (2) ดัชนี PMI ภาคบริการจากสถาบันดีกว่านักวิเคราะห์คาดไว้
นอกจากตัวเลขเศรษฐกิจที่ผสมผสานแล้วนั้น ก็พบว่าทรัมป์ได้เลื่อนเก็บภาษีรถยนต์จาก Canada , Mexico เป็นระยะเวลาอีก 1 เดือน โดย US Bond Yield กลับมาฟื้นตัวอย่างมีนัยยะ แต่ Dollar Index ยังคงอ่อนค่าต่อเนื่อง สะท้อนมุมมองเชิงบวกต่อทิศทางเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ประกอบกับเมื่อวานจีนได้ประกาศเป้าการเติบโตทางเศรษฐกิจในปีนี้ที่ 5% พร้อมเร่งการขาดดุลงบประมาณมากขึ้นและจะอัดฉีดเงินเข้าธนาคารพาณิชย์เพื่อให้สภาพคล่องสูงขึ้นหนุนการเติบโตทางสินเชื่อ
แต่อย่างไรก็ตามข้อมูลในอดีตชี้ว่าการเติบโตของเศรษฐกิจจีนยังไม่เห็นการฟื้นตัวอย่างมีนัยยะสะท้อนผ่านเงินเฟ้อที่ยังทรงตัว กลุ่มปิโตรเคมีที่ปรับขึ้นมาเมื่อวานนี้ (7 มี.ค.) จึงมองเป็นเพียงระยะสั้นมากกว่าและส่วนหนึ่งที่ปรับขึ้นมาอาจเป็นเพราะราคาหุ้นที่ปรับฐานลงมาค่อนข้างมาก
ด้านตลาดหุ้นไทย้เมื่อวันที่ 7 มี.ค. ปรับขึ้นมา 29 จุด (+2.5%) ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 5.07 หมื่นล้านบาท แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ได้สูงมากนัก โดยมีแรงหนุนหลักมาจาก AOT และ DELTA แต่การฟื้นตัวนั้นอาจเป็นเพียงระยะสั้น เนื่องจากระยะถัดไปยังขาดปัจจัยเชิงบวกอย่างมีนัยยะสำคัญ แม้ทรัมป์จะเลื่อนการเก็บภาษีออกไปแต่ในช่วงข้างหน้าก็อาจประกาศกลับมาทำสงครามการค้ากับประเทศอื่น ๆ อีก
อีกทั้ง อาจจะกลับมากดดันตลาดหุ้นอีกครั้งด้วย แม้ปัจจุบัน Valuation หุ้นไทยจะไม่แพงแต่ปัจจัยพื้นฐานยังไม่ได้โดดเด่นเท่าที่ควร ในส่วนของหุ้นขนาดใหญ่อย่าง DELTA และ AOT ยังมีแรงกดดันเฉพาะตัว ขณะที่ ADVANC ก็ปรับขึ้นมาค่อนข้างมากแล้ว
แต่หากตลาดหุ้นจะปรับขึ้นกลุ่มที่น่าสนใจจะเป็นค้าปลีก (BJC CRC CPALL HMPRO) ศูนย์การค้า (CPN) ธนาคารพาณิชย์ (BBL KBANK KTB) เพราะยังเป็นกลุ่มที่ผลประกอบการเห็นการขยายตัวประกอบกับราคาหุ้นนั้นยังไม่แพง
ในคืนนี้ต้องรอติดตามตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงาน โดย Bloomberg Consensus ได้ประเมินไว้ที่ 2.34 แสนราย และวันนี้มีการประเมิน SET INDEX ว่าจะเคลื่อนไหวในกรอบ 1200 – 1215 ในเชิงกลยุทธ์การลงทุนให้ไปโฟกัสที่รายตัว โดยเฉพาะตัวที่กำไรยังโดดเด่น ราคาหุ้นไม่แพงมากนักและธุรกิจแข็งแกร่ง ซึ่งประกอบไปด้วย ค้าปลีก (BJC CRC CPALL HMPRO) ศูนย์การค้า (CPN) ธนาคารพาณิชย์ (BBL KBANK KTB) โรงพยาบาล (BDMS) ท่องเที่ยว (CENTEL MINT)
CPF (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 30.50 บาท)
ปัจจัยบวกจากแนวโน้มผลประกอบการงวด 1Q25 ยังเห็นการเติบโตได้ดีจากราคาเนื้อหมูที่ยังอยู่ในระดับสูงทั้งที่ไทยและเวียดนาม แม้ต้นทุนข้าวโพดขยับขึ้นเล็กน้อย แต่กากถั่วเหลืองนั้นยังคงปรับตัวลงต่อ จึงจะเป็นผลดีต่อต้นทุนการเลี้ยงหมูได้ ซึ่งทำให้เราบริษัทมีการปรับกำไรสุทธิในปี 25 ขึ้นเป็น 19,448 ล้านบาท (ทรงตัวจากปี 24 แต่ถ้าดูเฉพาะกำไรปกติจะเพิ่มขึ้น 4%YoY) ขณะที่รายได้ผู้บริหารคาดการเติบโตที่ระดับ 5-8% (คาดเติบโต 5% มาอยู่ 612,233 ล้านบาท)
CENTEL (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 38.00 บาท)
ประกาศกำไรปกติใน 4Q24 ที่ 667 ล้านบาท (+23% YoY, +220% QoQ) สูงกว่าที่ตลาดคาด 34%/20% จากรายได้ธุรกิจหลัก และผลกำไรกิจการร่วมค้าที่เติบโตดีกว่าคาด และมองการเติบโตที่ต่อเนื่องไปยังปี 2025 ด้วย 1) การเติบโตของ RevPar ที่คาดสูงขึ้นจากเปิดให้บริการโรงแรมที่ได้รับการปรับปรุงใหม่เต็มรูปแบบ 2) โรงแรมญี่ปุ่นที่ได้รับอานิสงค์จากงาน World Expo Osaka 2025 ที่คาดว่าจะหนุนอัตราการเข้าพักเติบโต 3