CTD - Connect the Dots
  • Home
  • Business
  • People
  • Investment
  • Opinion
  • CIS
  • News
    • News
    • Sustainable
  • Contact
    • Contact
    • About Us
Reading: ฟื้น LTF พยุงตลาดหุ้นได้ไหม เมื่อไม่มีของใหม่ขาย
Share
CTD - Connect the Dots
Aa
  • Home
  • Business
  • People
  • Investment
  • Opinion
  • CIS
  • News
  • Contact
Search
  • Home
  • Business
  • People
  • Investment
  • Opinion
  • CIS
  • News
    • News
    • Sustainable
  • Contact
    • Contact
    • About Us
Follow US
Copyright © 2020 Creative Investment Space – All Rights Reserved
CTD - Connect the Dots > Blog > Economy > ฟื้น LTF พยุงตลาดหุ้นได้ไหม เมื่อไม่มีของใหม่ขาย
EconomyInvestment

ฟื้น LTF พยุงตลาดหุ้นได้ไหม เมื่อไม่มีของใหม่ขาย

CTD admin
Last updated: 2024/09/25 at 6:50 AM
CTD admin Published May 10, 2024
Share

หลังรองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลังคนใหม่ “พิชัย ชุณหวชิร” เข้ารับตำแหน่งก็มีแนวคิดในการฟื้นกองทุนรวมหุ้นระยะยาว หรือ LTF กลับมาใหม่ เพื่อหวังกระตุ้นตลาดหุ้นไทยให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง หลังจากดัชนีหุ้นไทยติดลบอย่างต่อเนื่อง โดยผลการดำเนินงานของ SET ปีนี้เทียบกับปีที่ (ข้อมูล ณ 7 พ.ค.67) แล้วยังคงติดลบเกือบ 3% วิ่งอยู่ในกรอบต่ำที่ 1,330 – 1,430 จุด มูลค่าซื้อขายต่อวันอยู่ที่ประมาณ 4 หมื่นล้านบาท และนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิแล้วกว่า 6.7 หมื่นล้านบาท

ในปี 2566 ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนเกือบต่ำที่สุดในโลก SET Index ปิดที่ 1,415.85 จุด ลดลง 15.2% จากสิ้นปี 2565 นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิกว่า 1.92 แสนล้านบาท แม้ในช่วงแรกการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่จากพรรคเพื่อไทย จะมีการออกกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thailand ESG Fund: ThaiESG) ที่เสนอขายในเดือนธ.ค. 2566 ที่ผ่านมา โดยคาดว่าจะมีเม็ดเงินเข้ามาลงทุน 10,000 ล้านบาท แต่ในความเป็นจริงมีเม็ดเงินลงทุนแค่ประมาณ 2,500 ล้านบาทเท่านั้น

สาเหตุที่ทำให้ ThaiESG ได้รับความสนใจน้อยจากนักลงทุน เนื่องจากสินทรัพย์ไม่มีความหลากหลาย โดยลงทุนได้เฉพาะหุ้นไทยและตราสารหนี้ไทย ที่ดำเนินธุรกิจตามแนวทาง ESG และผู้ลงทุนจะต้องถือหน่วยลงทุน ไม่น้อยกว่า 8 ปี ถือเป็นระยะเวลาที่ยาวนานเกินไป ขณะที่ที่ได้รับการลดหย่อนในอัตรา 30% ซึ่งไม่คุ้มถ้าเทียบกับ LTF และ RMF ที่มีเงื่อนไขที่ดีกว่า ทำให้ “พิชัย ชุณหวชิร” รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลังคนใหม่ เตรียมฟื้นกองทุน LTF กลับมาอีกครั้ง โดยหวังว่าจะเป็นเครื่องมือที่ช่วยกระตุ้นตลาดหุ้นไทยให้กลับมาคึกคึกอีกครั้ง

เตรียมปรับเงื่อนไข LTF ใหม่

สภาธุรกิจตลาดทุนไทยรับลูกแนวคิดดังกล่าว และเตรียมเข้าหารือกับรมว.คลังคนใหม่ ในการฟื้น LTF กลับมาอีกครั้ง รวมถึงการปรับเงื่อนไขในการลงทุน ThaiESG และ กองทุนเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาว (Super Saving Funds) หรือ SSF ที่เข้ามาแทนกองทุน LTF ที่หมดสิทธิลดหย่อนภาษีตั้งแต่ปี 2562 รวมถึงจะเสนอให้มีการปรับเกณฑ์กองทุนการออมเพื่อการเกษียณอายุ RMF ใหม่อีกด้วย ซึ่งความแตกต่างของแต่ละกองทุน มีดังนี้

กองทุน LTF หรือกองทุนรวมหุ้นระยะยาว เป็นที่น่าสนใจของนักลงทุนอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา โดยมีเงื่อนไขดังนี้

  • นโยบายการลงทุน เน้นลงทุนหุ้นในประเทศ 65% ซึ่งถือว่ามีความเสี่ยงสูง
  • ไม่จำกัดเงินลงทุนขั้นต่ำ เงินลงทุนสูงสุดไม่เกิน 15% ของเงินได้และไม่เกิน 500,000 บาท (ไม่นับรวม RMF ประกันบำนาญ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ประกันบำนาญ)
  • ถือครองระยะสั้น 5 ปี หรือ 7 ปี
  • มีทั้งแบบปันผลและไม่ปันผล

กองทุน RMF หรือกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ หรือเพื่อการเกษียณอายุ มีความหลากหลายมากกว่า LTF โดยมีเงื่อนไขดังนี้

  • นโยบายการลงทุนใน RMF มีให้เลือกตั้งแต่ความเสี่ยงระดับต่ำ – สูง
  • สามารถลงทุนได้ทั้งในและต่างประเทศ
  • ต้องลงทุนต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 5 ปี และต้องถือหน่วยลงทุนจนอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์
  • ลงทุนขั้นต่ำ 3% ของรายได้ แต่ไม่เกิน 15%
  • ไม่มีเงินปันผล

กองทุน SSF (Super Saving Funds) หรือกองทุนรวมเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาวที่นำมาแทน LTF เริ่มในปี 2563 มีเงื่อนไขดังนี้

  • ลงทุนในหลักทรัพย์ทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นหุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ ตราสารหนี้ กองทุนรวมผสม ฯลฯ มีความยืดหยุ่นมากกว่ากองทุน LTF เดิมที่กำหนดให้ลงทุนในหุ้นสามัญภายในประเทศไทย
  • ลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 30% ของเงินได้และไม่เกิน 200,000 บาท โดยเมื่อรวมกับกองทุนการออมเพื่อการเกษียณอายุอื่น ๆ
  • ไม่กำหนดจำนวนขั้นตํ่าในการซื้อต่อปี และไม่บังคับซื้อต่อเนื่อง
  • เงื่อนไขการขายคืนหน่วยลงทุนเพิ่มเป็น 10 ปีนับจากวันที่ซื้อ ต่างจาก LTF เดิมคือ 7 ปี
  • ให้ประโยชน์ลดหย่อนภาษีเพียง 5 ปี (2563-2567) หลังจากนั้นกระทรวงการคลังจะพิจารณาอีกที

บริษัทหลักทรัพย์เอเชีย พลัส จำกัด วิเคราะห์ว่า มูลค่าคงค้างของกองทุน LTF ตั้งแต่ปี 2556 – 2562 อยู่ที่ประมาณ 4 แสนล้านบาท และค่อย ๆ ถอนออกจากตลาดไปแล้วกว่า 1.59 แสนล้านบาท คงเหลือมูลค่าอยู่ประมาณ 2.47 แสนล้านบาท หากฟื้นกองทุน LTF อีกครั้ง คาดว่าจะมีเม็ดเงินใหม่เข้ามา 60,000 – 70,000 ล้านบาท น่าจะช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้กับตลาดหุ้นไทยได้ ซึ่งในอดีต ในช่วงที่มี LTF ตลาดหุ้นไทยมีสภาพคล่อง หรือ TURNOVER เฉลี่ยสูงถึง 80% ต่อปี แต่ปัจจุบัน TURNOVER เฉลี่ยเหลือเพียง 62.7% หากสภาพคล่องกลับมาบริเวณปกติที่ TURNOVER เฉลี่ยสูงถึง 80% ต่อปี จะมีมูลค่าซื้อขายกลับไปที่ 5.5 หมื่นล้านบาทต่อวัน น่าจะเพียงพอในการขับเคลื่อนดัชนีหุ้นไทยให้ขยับขึ้นได้

ห่วงตลาดหุ้นไทยขาดเสน่ห์

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่ากังวล คือตลาดหุ้นไทยยังมีความน่าสนใจอยู่หรือไม่ ซึ่งนอกจาก LTF แล้ว ตลาดหลักทรัพย์ฯ ควรเร่งหาโปรดักส์ใหม่ ๆ ที่น่าสนใจเข้ามาดึงดูดนักลงทุน เพราะมีหลายคนเริ่มพูดมากขึ้นเรื่อย ๆ ว่าตลาดหุ้นไทยขาดเสน่ห์ เพราะมีแต่หุ้นเดิม ๆ อย่างเช่นหุ้นกลุ่มปตท. ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 30% ของตลาด แถมหุ้นใหญ่ตัวนี้ยังเป็นหุ้นพลังงาน ที่นักลงทุนทั่วโลกเริ่มกังวลกับปัญหามลพิษที่เกิดขึ้นจากบริษัทผู้ผลิตน้ำมัน ซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดโลกร้อน

ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย อยากให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ หาสินทรัพย์ หรือโปรดักส์ใหม่ ๆ เข้ามามากขึ้น เพื่อสร้างมูลค่าให้กับตลาดหุ้นไทย เช่น สินทรัพย์ในกลุ่มดิจิทัล หุ้นเทคโนโลยี หรือบริษัทสตาร์ทอัพ อย่างตลาดหลักทรัพย์อินโดนีเซียมีบริษัทสตาร์ทอัพจำนวนมาก และบริษัทเหล่านี้ก็มีศักยภาพและมีมูลค่าในการเข้าไปซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ และสิ่งสำคัญต้องเร่งปัดกวาดบ้าน หรือปัญหาต่าง ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน

“ตลาดหุ้นไทยมีดาร์กไซด์อยู่เยอะ ปัญหามอร์ สตาร์คที่เกิดขึ้น เป็นประเด็นที่เข้ามาทำร้ายนักลงทุน สร้างความเสียงหายให้กับบจ. และบลจ. ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ ต้องเข้ามาปัดกวาดบ้านให้สวยงาม จัดการปัญหาที่ซ่อนอยู่ตามมุมมืดต่าง ๆ รวมทั้งหาโปรดักส์ใหม่ ๆ เข้ามา จะทำให้ตลาดฯ เกิดประโยชน์จากนักลงทุนอย่างแท้จริง” ดร.กอบศักดิ์กล่าว

ดังนั้น ก่อนที่รัฐบาล ตลาดหลักทรัพย์ฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะผลักดันสินค้า หรือสินทรัพย์ใหม่ ๆ ออกมา ไม่ว่าจะเป็น LTF หรือกองทุนใหม่ ๆ แต่สิ่งสำคัญคงต้องเร่งจัดการปัญหาภายในบ้านให้ได้เสียก่อน มิฉะนั้นนักลงทุนยังคงต้องเผชิญกับผู้ร้ายที่ซ่อนอยู่ตามมุมมืด ไม่รู้ว่าจะโผล่มาทำร้ายนักลงทุนอีกเมื่อไหร่

You Might Also Like

AOT ราคาเท่าไหร่ถึงเรียกว่าถูก?

สงครามการค้า อเมริกาเมาหมัด คู่ชกซัดกลับ เศรษฐกิจ ฟื้น? หรือ ฟุบ?

ราคาทองพุ่งทยาน! ทองรูปพรรณ ขายออก 55,500 บาท

Bitcoin ช่วยป้องกันเงินเฟ้อได้ดี ท่ามกลางการจัดระเบียบโลก

TAGGED: LTF, ตลาดหุ้น, ตลาดหุ้นไทย, หุ้น

Sign Up For Daily Newsletter

Be keep up! Get the latest breaking news delivered straight to your inbox.
By signing up, you agree to our Terms of Use and acknowledge the data practices in our Privacy Policy. You may unsubscribe at any time.
CTD admin May 10, 2024
Share this Article
Facebook Twitter Email Copy Link Print
Previous Article เดี่ยวมาแล้วกี่ยุค? ย้อนดูการเปลี่ยนผ่านตลอด 29 ปี ใครทันหมด คุณไม่เด็กแล้วนะ
Next Article KKP แนะ ‘เดอะแบก’ ความรู้ทางการเงินคือทางรอด รู้ไว้ก่อนจะได้ไม่ต้อง ‘รู้งี้’  
CTD - Connect the Dots

Connect The dots ชุมชนสำหรับผู้ที่ชอบค้นหาโอกาสใหม่ พัฒนาตัวเองตลอดเวลา และเชื่อในโอกาสใหม่ๆ พื้นที่แลกเปลี่ยนความรู้ ไม่ว่าจะเป็นโลกธุรกิจ การลงทุน เทรนด์กระแส หรือ แม้กระทั่ง การเงินส่วนบุคคล ร่วมลากเส้น ต่อจุด เพื่อทุกความเป็นไปได้ไปกับเรา เพียงคุณเริ่มต้นที่จุดแรกไปกับเรา

Facebook Youtube Tiktok Spotify

แผนผังเว็บไซต์

Home
Business
People
News
Contact
Opinion
Investment
CIS
Sustainable
About Us

Copyright © 2024 Connect the Dots – All Rights Reserved

ข้อตกลงและเงื่อนไข

คำเตือนความเสี่ยงฉบับเต็ม

Removed from reading list

Undo
Welcome Back!

Sign in to your account

Lost your password?