การเติบโตของเศรษฐกิจไทยที่ถูกตั้งเป้าจากสภาพัฒน์ฯ ว่า GDP จะขยายตัวที่ 2.5% ทั้งปี ยังเป็นเรื่องของอนาคตว่า เป้าหมายจะเป็นไปตามแผนหรือไม่ เมื่อเงื่อนไขและปัจจัยหลักขึ้นอยู่กับนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ไม่ใช่เพียงฉาบฉวย แต่ควรต้องให้ผลในระยะยาว
ขณะที่ประเทศใกล้เคียงอย่าง อินโดนีเซีย เวียดนาม และอินเดีย ดูเหมือนจะมีอัตราเร่งอย่างก้าวกระโดด โดยเฉพาะตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจ ที่ทิ้งห่างไทยไปหลายช่วงตัวในเวลาไม่นาน
รายงานของธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (ADB) ระบุว่า เศรษฐกิจอินโดนีเซียมีการคาดการณ์กันว่าจะขยายตัวที่ 5% ในปี 2567-2568 ปัจจัยมาจากแรงหนุนหลักจากการใช้จ่ายของภาครัฐ ที่สามารถชดเชยผลกระทบเชิงลบจากอุปสงค์ในภาคการส่งออกที่ได้รับผลกระทบจากความผันผวนและตกต่ำของราคาสินค้าโภคภัณฑ์
นอกจากนี้ยังมีรายงานเกี่ยวกับเศรษฐกิจเวียดนามว่า มีการเติบโตอย่างแข็งแกร่งต่อเนื่อง โดยได้รับแรงหนุนจากภาคการส่งออกและการบริโภคในประเทศ การส่งออกขยายตัว 6.4% ในครึ่งแรกของปี 2567 การเงินมีบทบาทหนุนเสริมการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอย่างดี อุปสงค์สินค้าอิเล็กทรกนิกส์ในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้นอย่างรวกเร็ว หนุนเสริมให้ภาคการส่งออกเวียดนามเติบโตอย่างรวดเร็ว ขณะที่ภาคการคลังมีส่วนกระตุ้นการเติบโต เพราะรัฐบาลได้ประกาศขยายเวลาการบังคับใช้มาตรการลดการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มลง 2% ออกไปอีก คาดว่าเศรษฐกิจเวียดนามจะขยายตัว 6% ในปี 2567 และเพิ่มเป็น 6.2% ในปี 2568
สอดคล้องกับข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทย ที่ระบุว่า เม็ดเงินการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศหรือ FDI (Foreign Direct Investment) ในอาเซียนลดลงในปี 2566 แต่ FDI ในภาคอุตสาหกรรมของอินโดนีเซียและเวียดนามยังเพิ่มขึ้น ไทยควรเร่งนโยบายที่เอื้อต่อการลงทุน ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการเกิดสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ทำให้อินโดนีเซียและเวียดนามเป็นประเทศที่ได้รับอานิสงส์หลักจากการกระจายฐานการผลิตออกจากจีน เมื่อเทียบกับมาเลเซียและไทย
ขณะที่การลดลงของ FDI ในอาเซียนปี 2566 เป็นผลพวงจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว และการขึ้นดอกเบี้ยที่ทำให้นักลงทุนต่างชาติชะลอการลงทุนออกไปก่อน แต่สำหรับอินโดนีเซียและเวียดนาม FDI ในภาคอุตสาหกรรมการผลิตยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วนไทย FDI ที่ลดลงเป็นผลมาจากการปิดกิจการของธุรกิจต่างชาติ อาทิ การขายกิจการปั๊ม ESSO ในขณะที่ FDI ในอุตสาหกรรมแห่งอนาคตยังเพิ่มขึ้นในปี 2566
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า เวียดนามและอินโดนีเซียยังเป็นแหล่งดึงดูด FDI ในภาคอุตสาหกรรมที่สำคัญของอาเซียน ในขณะที่ไทยก็ยังพอมีศักยภาพในการดึงดูด FDI ในอุตสาหกรรมแห่งอนาคตอยู่บ้าง แต่ต้องเร่งนโยบายที่เอื้อแก่การลงทุนมากขึ้น
อินเดีย กำลังกลายเป็นดาวรุ่งดวงใหม่บนเวทีโลก โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลก การเติบโตมีอัตราเร่งสูง แรงงานวัยหนุ่มสาวมีจำนวนมาก และอินเดียกลายเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าดึงดูดนักลงทุนทั่วโลก เนื่องจากมีนโยบายที่เอื้อต่อธุรกิจและเปิดรับการลงทุนจากต่างประเทศ ทำให้ปัจจุบัน อินเดียเนื้อหอมอย่างมาก หากมองที่ตัวเลข GDP มีการเติบโตเฉลี่ย 7% และยังถูกคาดการณ์ว่าจะมีขนาด GDP สูงที่สุดเป็นอันดับ 2 ในปี 2050
ข้อมูลจาก Goldman Sachs Research คาดการณ์ว่า 10 ประเทศที่จะมี GDP สูงที่สุดในปี 2050 ได้แก่ 1.จีน GDP มูลค่า 58.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ 2. อินเดีย 44.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ 3. สหรัฐอเมริกา 34.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ 4. อินโดนีเซีย 10.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และ 5. บราซิล 7.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
หากมองในมิติของการลงทุน 3 ประเทศนี้ เป็นพื้นที่แห่งโอกาสของนักลงทุนจากไทยไม่น้อย โดยแต่ละประเทศจะมีหน่วยงานของภาครัฐที่สนับสนุนการลงทุนสำหรับนักลงทุนต่างชาติ เช่น ธนาคารกลาง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม หรือหอการค้าของแต่ละประเทศ ไม่ต่างจากไทย
โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม ของทั้ง 3 ประเทศที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของโลก ข้อมูลจาก Euromonitor คาดว่า มูลค่าของตลาดอาหารและเครื่องดื่มของเวียดนาม ในปี 2567 เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.92 กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าเวียดนามระบุว่ามูลค่าของอุตสาหกรรมนี้จะอยู่ที่ 970,533 ล้านบาท
อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มในอินเดีย นักวิเคราะห์ประเมินว่า จะมีมูลค่า 4.7 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2568 หรือเพิ่มขึ้นเกือบร้อยละ 80 ในระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา และมูลค่าของอุตสาหกรรมนี้ในอินโดนีเซียอยู่ที่ 280,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2567 เติบโต 6.12% ต่อปี
นอกจากหน่วยงานภาครัฐแล้ว อีกหนึ่งแพลตฟอร์มที่เป็นเสมือนสะพานเชื่อมต่อให้นักลงทุนไทยไปยังตลาดต่างประเทศคือ อินฟอร์มา มาร์เก็ต ที่สร้างโอกาสการเกิด Business Matching โดยเฉพาะงานแสดงสินค้าและเทคโนโลยีที่สำคัญในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม เช่น งาน Food Ingredients Asia ที่จัดขึ้นในไทย อินโดนีเซีย และเวียดนามในช่วงที่ผ่านมา
ผู้ประกอบการไทยในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มมีความเชี่ยวชาญอย่างมาก เพียงแต่ต้องมองหาตลาดที่เหมาะสม อย่างไรก็ดี สิ่งที่ผู้ประกอบการต้องคำนึงถึงคือ กฎระเบียบ ข้อบังคับ รวมถึงความแตกต่างทางวัฒนธรรมอาหาร ที่จะเป็นเงื่อนไขสำคัญที่จำเป็นต้องศึกษาให้ถ่องแท้ เพื่อให้พร้อมสำหรับการลงทุน และรังสรรค์ผลิตภัณฑ์ให้เป็นที่ต้องการของตลาดในประเทศนั้นๆ
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ บริษัท เอกา โกลบอล จำกัด ที่เพิ่งปักหมุดสร้างฐานการผลิตบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหารในเมืองปูเน่ ประเทศอินเดีย หลังจากชิมลางด้วยการตั้งออฟฟิศสำนักงานขาย และส่งสินค้าจากไทยมาจากคำสั่งซื้อประมาณ 5 ปี ก่อนจะเห็นโอกาสจากยอดการสั่งซื้อต่อเนื่องและเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งตัดสินใจตั้งโรงงานเพื่อผลิตและจำหน่ายภายในประเทศอินเดีย
นอกจาก เอกา โกลบอล แล้ว ยังมีผู้ประกอบการไทยอีกหลายรายที่สยายปีกรุกตลาดของทั้ง 3 ประเทศ เพียงแต่ข้อจำกัดและเงื่อนไขหลายประการ อาจทำให้ผู้ประกอบการหรือนักลงทุนไทย ทำได้เพียงส่งสินค้าเข้าไปจำหน่าย หรือลงทุนในลักษณะ Joint venture กับผู้ประกอบการท้องถิ่นเท่านั้น แต่ในอนาคต อินเดีย อินโดนีเซีย และเวียดนาม อาจเป็นเวทีประลองสรรพกำลังของนักลงทุนไทยก็อาจเป็นได้