หลังจากกลุ่มเปราะบางได้รับเงินสนับสนุน 10,000 บาทจากโครงการดิจิทัลวอลเล็ตของรัฐบาล ก็เกิดเป็นประเด็นดราม่าใหญ่เรื่องการใช้จ่ายฟุ่มเฟือยของคนกลุ่มนี้ และทำให้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าอาจไม่ช่วยให้เกิดพายุหมุนเศรษฐกิจจริงตามวัตถุประสงค์ของโครงการ จนเงินหมื่นอาจกลายเป็นศูนย์และสูญไปในอากาศได้ แต่ในเรื่องนี้มีอะไรที่เราควรกังวลบ้าง
เปราะบางไม่จริง?
ประเด็นแรกที่คนตั้งคำถามกันคือกลุ่มเปราะบางที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐกันเนี่ย เปราะบางจริงไหม ตามนิยามของรัฐ กลุ่มเปราะบางคือ ผู้มีรายได้น้อย ผู้พิการ และผู้สูงอายุ 60 ปีขี้นไป ในส่วนของผู้พิการกับผู้สูงอายุ เรื่องความเปราะบางมันก็ดูกันไม่ยาก แต่ในส่วนของผู้มีรายได้น้อย อะไร ๆ มันค่อนข้างซับซ้อนกว่า
รายได้น้อยตามเงื่อนไขบัตรสวัสดิการแห่งรัฐคือ รายได้ต่อคนไม่เกินปีละ 1 แสนบาท เงินฝากไม่เกิน 1 แสนบาท แต่ช่องโหว่จะคล้ายกับการยื่นภาษีคือ หากรับรายได้เป็นเป็นเงินสด ยื่นรายได้ไม่ครบตามจริง ก็ยากที่จะตรวจสอบได้ และหลายคนอายุเกิน 18 มาแล้วแต่ก็ยังเรียนอยู่ หรือไม่ได้ทำงาน ยังไม่มีรายได้ ยังอาศัยค่าใช้จ่ายจากครอบครัว ซึ่งอาจไม่ได้เดือดร้อน แต่ตัวเลขรายได้และเงินฝากก็อาจไม่สูงเกินแกณฑ์ นั่นทำให้คนบางส่วนที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐกว่า 13.5 ล้านคน (ไม่นับผู้พิการ) อาจไม่ได้เปราะบางจริง ในขณะที่บางคนอาจมีเงื่อนไขบางอย่างที่ไม่เข้าเกณฑ์และกลับเดือดร้อนกว่ามาก
เสียภาษีน้อยกว่า?
อีกประเด็นหนึ่งคือคนบางส่วนมองว่า กลุ่มเปราะบางเสียภาษีน้อยกว่าแต่กลับได้ประโยชน์จากภาษีมากกว่า ถ้าว่ากันตามเงื่อนไขกลุ่มเปราะบางจะเสียภาษีแค่ VAT เท่านั้นเพราะมีรายได้(ที่ตรวจสอบได้)ไม่ถึงเกณฑ์เสียภาษีเงินได้ ในขณะที่คนชนชั้นกลางจำนวนมากต้องเสียภาษีเงินได้เพิ่มอีกทั้งที่ยังต้องดิ้นรนไม่ต่างกัน แต่กลับไม่ได้รับประโยชน์ส่วนนี้ ซึ่งประเด็นมันไม่ได้อยู่ที่คนเสียภาษีน้อยไม่ควรได้รับประโยชน์ เพราะพื้นฐานของภาษีมันมีมาเพื่อลดความเหลื่อมล้ำอยู่แล้ว เพียงแต่ผู้ที่เสียภาษีมากกว่าก็ไม่ควรถูกรัฐทอดทิ้ง ด้วยการนำภาษีที่ตนเองร่วมจ่ายไปปรนเปรอคนเพียงกลุ่มเดียว
ฟุ่มเฟือย?
ส่วนที่ทำให้หลายคนเดือดดาลที่สุดในดราม่านี้คงเป็นการที่เห็นกลุ่มเปราะบางทั้งจริงและไม่จริง นำเงินสนับสนุนจากภาษีของคนทั้งประเทศไปใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยราวกับไม่เห็นค่าเงิน ซึ่งพูดกันตามตรงคนส่วนใหญ่ในกลุ่มนี้ค่อนข้างขาดการศึกษาและมีความรู้ทางการเงินน้อย ทำให้ขาดการตระหนักรู้ด้านการใช้จ่ายประมาณหนึ่ง
แต่ในอีกหนึ่งมุมมันก็ใช่ว่าทุกอย่างที่ดูฟุ่มเฟือยจะฟุ่มเฟือยเสมอไป อย่างสมาร์ตโฟนที่หลายคนยกมาเป็นประเด็น จริง ๆ แล้วมันเป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นมากต่อการใช้ชีวิตในปัจจุบัน และยังสามารถสร้างโอกาสในการหารายได้เพิ่มด้วย การที่คนบางกลุ่มจะนำเงินหมื่นมาซื้อสมาร์ตโฟนก็อาจไม่ใช่เรื่องฟุ่มเฟือยจริง
ถึงอย่างนั้นก็ยังมีทั้งคนที่นำเงินหมื่นไปเติมเกม ซื้อบัตรคอนเสิร์ต เล่นหวย หรือดื่มแอลกอฮอล์ เมามาย แทนที่จะนำไปใช้หนี้ ซื้อข้าวของที่จำเป็น หรือใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ซึ่งมันก็นับว่าฟุ่มเฟือยจริง แต่ถึงอย่างนั้น ไม่ว่าเขาจะนำไปใช้อะไรก็อาจไม่ใช่ปัญหาที่ต้องกังวลจริง ๆ ก็ได้
พายุหมุนเศรษฐกิจ?
ที่บอกว่าถึงเขาใช้จ่ายฟุ่มเฟือยก็อาจไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวล เพราะถ้าวัตถุประสงค์สำคัญคือการสร้างพายุหมุนทางเศรษฐกิจ มันก็อาจยังส่งผลแบบนั้นได้อยู่ เนื่องจากในระบบเศรษฐกิจมันไม่ได้ประกอบไปด้วยสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไปที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวันเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสินค้าและบริการฟุ่มเฟือยมากมายที่มีมูลค่าสูง อันจะเป็นแรงลมสำคัญในพายุหมุนเศรษฐกิจด้วย ดังนั้น ไม่ว่าจะเติมเกม ซื้อบัตรคอนเสิร์ต ซื้อสมาร์ตโฟน ดื่มแอลกอฮอล์ เล่นหวย ตราบใดที่มันถูกกฎหมายและผ่านมือผู้ประกอบการไทย เงินจะเข้าไปกระตุ้นการไหลเวียนในระบบเศรษฐกิจของประเทศอยู่แล้ว แต่จะถึงกับเป็นพายุเลยไหม… คงต้องรอดูผล
หนี้?
หนึ่งในปัญหาเศรษฐกิจระดับชาติของไทยคือหนี้ครัวเรือนที่สูงกว่า 90% ของ GDP ซึ่งการที่กลุ่มเปราะบางที่เสี่ยงและมีปัญหาหนี้อยู่แล้ว ใช้เงินหมื่นอย่างฟุ่มเฟือยแบบนี้คงไม่ช่วยแก้ปัญหา แต่หากถอยกลับมามองอย่างตั้งใจ มันก็ไม่ใช่นโยบายที่จะช่วยแก้ปัญหาหนี้ได้ตั้งแต่แรก ปัญหาหนี้คือสิ่งที่ต้องแก้ไขด้วยความรู้และวินัยทางการเงินเป็นสำคัญ ร่วมกับนโยบายด้านการเงินของรัฐบาล แต่ไม่ใช่ด้วยการเติมเงินเข้ามาเปล่า ๆ แบบนี้อยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม แม้การใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยของกลุ่มเปราะบางอาจยังส่งผลกระตุ้นการหมุนของเศรษฐกิจได้อยู่ แต่มันกลับสะท้อนปัญหาและช่องโหว่หลายอย่างของโครงการนี้ของรัฐบาล อย่างเงื่อนไขโครงการและการตรวจสอบที่อาจทิ้งกลุ่มเปราะบางจริงให้ตกหล่น การที่ไม่มีเงื่อนไขการใช้จ่ายที่เหมาะสมก็อาจทำให้เงินหลุดจากระบบไปได้บางส่วน เช่นคนที่นำไปเล่นพนัน หรือซื้อของผิดกฎหมาย หรือจะเป็นความเสี่ยงที่เงินจะถูกหมุนไปไม่ทั่วถึง อาจเข้าไปแค่ที่ร้านสะดวกซื้อเครือใหญ่ซึ่งมีสาขามากที่สุดในประเทศ หรืออาจหมุนเพียงรอบเดียวแล้วออกนอกประเทศไปเลย รวมถึงเรื่องที่การหยิบยื่นเงินหมื่นฟรี ๆ ให้กับคนที่ไม่มีวินัยทางการเงิน สุดท้ายแล้วมันเป็นคุณหรือโทษกับพวกเขากันแน่