หุ้นวัฏจักร คืออะไร?
หุ้นกลุ่มธุรกิจที่มีราคาหุ้นผันผวนสูงมาก โดยจะมีรอบที่ราคาจะขึ้นและลงเป็นวัฏจักร ผลการดำเนินงานของหุ้นประเภทนี้จะมีความผันผวนสูงเช่นกัน โดยในช่วงต่ำสุดของวัฏจักรผลการดำเนินงานอาจจะขาดทุนแต่ในช่วงสูงสุดจะเห็นกำไรที่งดงามมาก และช่วงสูงนี่เองที่ทำให้นักลงทุนด้อยประสบการณ์รีบเข้าไปทำการซื้อหุ้นตัวนี้แล้วลงเอยด้วยการติดดอย คุณสมบัติอีกอย่างสำหรับหุ้นวัฏจักรคือความผันผวนตามสภาวะเศรษฐกิจสูง ถ้าสภาพเศรษฐกิจแย่หุ้นประเภทนี้ก็ตกต่ำสุดๆ ถ้าเศรษฐกิจดีหุ้นประเภทนี้ก็มีราคาปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว รอบของหุ้นวัฏจักรมีระยะเวลาที่แตกต่างกันเช่น 2 ปี 3 ปี 5 ปี หรือ 10 ปี
.
ซึ่งแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ ได้แก่
1. หุ้นที่ธุรกิจปรับตัวขึ้นลงตามแนวโน้มของเศรษฐกิจ
ช่วงไหนเศรษฐกิจดี ผลประกอบการก็ดีตาม แต่ถ้าช่วงไหนเศรษฐกิจย่ำแย่ ผลประกอบการก็มักจะตกต่ำเช่นกัน เช่น
- หุ้นอสังหาริมทรัพย์
- เช่น LH, SPALI, PSH, AP
- หุ้นวัสดุก่อสร้าง
- เช่น SCC, TOA, TPIPL, TASCO
- หุ้นอุตสาหกรรมรถยนต์
- เช่น STANLY, PCSGH, SAT, AH
- หุ้นธนาคาร
- เช่น KBANK, SCB, BBL, BAY
- หุ้นเดินเรือ
- เช่น RCL, TTA, PSL, PRM
2. หุ้นที่เกี่ยวข้องกับสินค้าโภคภัณฑ์
สินค้าโภคภัณฑ์ เช่น น้ำมัน, ยางพารา, เหล็ก ที่ราคาจะล้อตามตลาดโลก ทำให้บริษัทไม่สามารถควบคุมราคาสินค้าได้ด้วยตัวเอง
- หุ้นน้ำมัน-ปีโตรเคมี
- เช่น PTTEP, TOP, IVL, BAFS
- หุ้นถ่านหิน-เหล็ก
- เช่น BANPU, TSTH, TMT, MCS
- หุ้นบรรจุภัณฑ์
- เช่น SCGP, PTL, ALUCON, TPB
- หุ้นสินค้าเกษตร
- เช่น STA, NER, UVAN, TWPC
หากต้องการลงทุนในหุ้นวัฏจักรควรเตรียมตัวอย่างไร?
.
ติดตามภาพรวมเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด
เมื่อเห็นว่าเศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัว เราจะต้องรีบขายหุ้นออกไป แต่หากเศรษฐกิจกำลังจะปรับตัวขึ้น ราคาของหุ้นก็จะเริ่มดีขึ้น จึงจำเป็นต้องติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด
.
เข้าใจ cycle ของธุรกิจนั้นๆ
ผลประกอบการของหุ้นวัฏจักร มักอิงอยู่กับราคาสินค้าโภคภัณฑ์นั้นๆ ซึ่งแปรไปตามกลไกตลาดโลก นักลงทุนจึงควรเข้าใจกลไกราคาของอุตสาหกรรมนั้นเป็นอย่างดี เพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างราคาโภคภัณฑ์กับผลประกอบการของบริษัท
.
อย่าประเมินมูลค่าหุ้นด้วย P/E
เพราะหุ้น P/E สูงนั้นไม่จำเป็นต้องแพงเสมอไป หากธุรกิจกำลังอยู่ช่วงพีค และหุ้น P/E ต่ำ ก็ไม่ได้แปลว่าจะถูกเสมอไป
.
กล้าที่จะจับจังหวะเก็งกำไร
การเลือกที่จะเล่นหุ้นวัฏจักร แปลว่าเรามีความชัดเจนแต่แรกแล้วว่าจะเน้นที่กำไรจาก Capital Gain (ส่วนต่างราคาหุ้น) เป็นหลัก
.
ไม่เหมาะกับการ DCA
เนื่องจากราคาหุ้นที่ขึ้นๆ ลงๆ เป็นรอบ ทำให้การลงทุนนานๆ ไม่ได้ช่วยให้เราได้ผลตอบแทนเยอะขึ้น
Reference: