เงินเฟ้อของสหรัฐ มีกี่แบบ?
ก่อนที่เราจะมาพูดถึงเรื่องอัตราเงินเฟ้อในสหรัฐ ว่ามีการจับตัวเลขอัตราเงินเฟ้อ ที่ไม่เหมือนกันกับประเทศอื่น เรามาดูความหมายของอัตราเงินเฟ้อกันก่อนว่า เงินเฟ้อที่แท้จริงแล้วมันหมายความว่าอะไร?
.
อัตราเงินเฟ้อคืออะไร?
อัตราเงินเฟ้อคือการลดลงของกำลังซื้อของสกุลเงินหนึ่งๆ เมื่อเวลาผ่านไป อัตราการเกิดกำลังซื้อที่ลดลงcสามารถสะท้อนให้เห็นในการเพิ่มขึ้นของระดับราคาเฉลี่ยของสินค้าและบริการที่เลือก ในระบบเศรษฐกิจในช่วงระยะเวลาหนึ่ง การเพิ่มขึ้นของราคาซึ่งมักแสดงเป็นเปอร์เซ็นต์ หมายความว่า หน่วยของสกุลเงินนั้นทำการซื้อได้อย่าง มีประสิทธิภาพน้อยกว่าในช่วงก่อนหน้า
.
เช่น อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐ ในเดือนพฤษภาคม สูงถึง 8.6% หมายความว่า เรามีเงินอยู่ 100 ดอลล่าร์ เราจะมีกำลังซื้อได้เพียง 91.4% ดอลล่าร์นั้นเอง
.
แล้วตัวเลขของสหรัฐ มีความแตกต่างจากของประเทศอื่นอย่างไร ?
ธนาคารกลางสหรัฐ หรือ FED นั้น ให้ความสำคัญ 2 กลุ่มใหญ่ด้วยกัน
- Consumer Price Index (CPI) เป็นการวัดการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าและบริการในตะกร้าผู้บริโภค ที่มีการอัปเดตทุก 2 ปี จัดทำโดย Bureau of Labor Statistics (สำนักงงานสถิติแรงงานของสหรัฐ) ประกาศพุธที่สองของทุกเดือน
- Personal Consumption Expenditure (PCE) Price Index เป็นการวัดการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าในตะกร้าผู้บริโภค ที่มีการเปลี่ยนแปลงทุกเดือน ตามพฤติกรรมผู้บริโภค จัดทำโดย Bureau of Economic Analysis (สำนักวิเคราะห์เศรษฐกิจสหรัฐ) ประกาศทุกศุกร์สุดท้ายของเดือน
.
เนื่องจากผู้บริโภคส่วนใหญ่ จะปรับพฤติกรรมการซื้อสินค้า ไปยังสินค้าที่ถูกกว่า ทำให้ข้อมูล PCE Price Index ส่วนมากจะต่ำกว่า CPI
.
โดยตัวเลข PCE Price Inflation คือตัวเลขเงินเฟ้อที่ Fed ใช้เป็นเครื่องชี้หลัก ในการวัดเงินเฟ้อและเพื่อพิจารณาการทำนโยบายการเงิน ร่วมกับตัวเลขด้านแรงงาน โดย Fed จะให้ความสำคัญกับ Core PCE Price Inflation ซึ่งหักสินค้าประเภทอาหารสด และพลังงานที่ราคามีความผันผวนค่อนข้างมากออก ( หักราคาน้ำมัน กับ ราคาวัตถุดิบอาหารออก)
- กล่าวง่ายๆ CPI คือ การวัดการเปลี่ยนแปลงในกำลังซื้อของครอบครัวโดยเฉลี่ย และเศรษฐกิจโดยรวม อัตราเงินเฟ้อของดัชนีราคาผู้บริโภค กำหนดโดยการเปรียบเทียบกับ CPI ในเดือนก่อน และข้อมูลในอดีตย้อนหลัง รวมราคาพลังงาน และอาหาร (กำลังซื้อที่เปลี่ยนไปของเศรษฐกิจโดยรวม)
- ส่วน PCE คือ การวัดค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง และค่าใช้จ่ายของครัวเรือน รายจ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล โดยมุ่งเป้าไปที่ครัวเรือนและบุคคลเป็นหลัก ( ค่าใช้จ่ายค้าปลีก)
ส่วนขยายความของ PCE
PCE จะทำให้รู้ว่า ผู้บริโภคใช้จ่ายกับอะไรเท่าไหร่ ทั้งผู้บริโภคที่เป็นบุคคลทั่วไป และที่เป็นองค์กรที่ทำหน้าที่ใช้จ่ายแทนบุคคลทั่วไป ส่วน CPI จะรู้แค่มุมของผู้บริโภคที่เป็นบุคคลทั่วไป ว่าใช้จ่ายเงินไปกับอะไร เท่าไหร่ เท่านั้น
.
อีกความแตกต่างคือ ความแตกต่างของ CPI และ PCE คือการเก็บข้อมูล สูตรในการคิด รวมไปถึงผลกระทบของผลลัพธ์ในการคำนวณเงินเฟ้อแต่ล่ะตัว ที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งในบทความนี้ จะไม่ขอลงรายละเอียด เนื่องจากมีความซับซ้อนมากพอสมควร
.
โดยธนาคารกลางสหรัฐ จะให้ความสำคัญกับ PCE inflation มากกว่าเพราะสะท้อน กำลังซื้อ-จ่าย ของประชาชนในสหรัฐ มีผลกระทบโดยตรงการจ้างในสหรัฐ รวมไปถึงผลลัพธ์ต่อเนื่อง ของความสามารถในการชำระหนี้ของแต่ล่ะรายบุคคลและครัวเรือน
.
หากตัวเลขเงินเฟ้อออกมาสูง จะทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ จำเป็นที่จะต้องดูแลเศรษฐกิจของประเทศให้สอดคล้องกับค่าจ้าง และการจ้างงานให้มากขึ้น เพราะกำลังซื้อของผู้คนในประเทศ เริ่มโดนกดดันจากต้นทุนที่พุ่งสูงขึ้น และอาจจะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐ ที่เป็นผู้บริโภคอันดับต้นของโลกนั้นเกิดปัญหา
.
ถ้าหาก FED ไม่สามารถควบคุมเงินเฟ้ออย่างในช่วงที่ผ่านมาได้ อาจส่งลบกับเศรษฐกิจทั่วโลก จนลามเป็นลูกโซ่ได้ โดยเฉพาะกับประเทศเกิดใหม่ เช่น ศรีลังกา ที่กำลังเผชิญหน้ากับการล้มละลาย
.
รวมไปถึงประเทศเกิดใหม่อีกหลายประเทศ ที่จะต้องเจอกับวิกฤต ที่เนื่องมาจากการกู้เงินในสกุลดอลลาร์ ช่วงที่โควิดระบาด ซึ่งมีดอกเบี้ยใกล้ศูนย์ แต่เมื่อ FED เข้ามาจัดการเรื่องเงินเฟ้ออย่างเข้มงวดมากขึ้ จึงทำให้เกิดการขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่รวดเร็ว จนทำให้ประเทศเหล่านี้ที่กู้เงินมานั้น ขาดความสามารถในการชำระหนี้ รวมไปถึงสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ที่ยังไม่มีท่าทีจะจบในเร็วนี้ ยิ่งทำให้ราคาน้ำมันที่เป็นองค์ประกอบหลักของเงินเฟ้อนั้น ยังคงตัวอยู่ในระดับที่สูงต่อไป และนี่คือผลกระทบเพียงส่วนหนึ่ง จากการพุ่งขึ้นของเงินเฟ้อในสหรัฐ ในรอบ 40 ปี เท่านั้น
Reference:
Difference Between CPI and PCE