สินทรัพย์การลงทุนที่ปรับตัวลงและได้รับผลกระทบจากสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนมากที่สุด ก็คือตลาดหุ้นโดยเฉพาะตลาดหุ้นยุโรป ที่มีภูมิศาสตร์และความเกี่ยวข้องทางเศรษฐกิจกับรัสเซียมากกว่าภูมิภาคอื่น ขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯทั้งดัชนี Dow Jones,S&P500 และ NASDAQ ต่างถูกเทขายไปด้วยเช่นกัน
ขณะที่ตลาดหุ้นจีนทุกดัชนีไม่ว่าจะดัชนี CSI300,Hang Seng และ China Technology ถูกเทขายไปด้วยเช่นกันจากเดิมที่ได้รับผลลบจากนโยบายภาครัฐที่เข้มงวดต่อบริษัทเทคโนโลยีมาตั้งแต่ปีที่แล้วยังได้ผลกระทบจากสงครามไปด้วย จากการที่จีนค่อนข้างที่จะอยู่ฝ่ายรัสเซียชัดเจน ทำให้เกิดความกังวลว่าจะถูกคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจไปด้วย
โดยดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯทั้งสามได้ลงมาจากจุดสูงสุดของปีนี้ถึง 20% ในทางเทคนิคถือว่าได้เข้าสู่ตลาดหมีไปแล้วก่อนที่สัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดจะเริ่มฟื้นตัวขึ้นมาได้ ส่วนตลาดหุ้นจีนปรับตัวลดลงในระดับที่ใกล้เคียงกัน
ใครจะคิดว่าจะได้เห็นค่า P/E ของตลาดหุ้นจีนที่อยู่ระดับเพียงแค่ 8 เท่า ถือว่าถูกที่สุดในรอบหลายปีและหุ้นขนาดใหญ่หลายตัวเช่น ALIBABA ราคาลดลงจากจุดสูงสุดถึง 70-80% แต่สัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดหุ้นจีนฟื้นตัวกลับค่อนข้างแรง จากการประกาศของรัฐบาลที่อาจจะมีมาตราการพยุงตลาดหุ้นเข้ามาทำให้ราคาหุ้นหลายๆ ตัวมีแรงซื้อกลับที่ค่อนข้างแรงกว่า 20-30%
คำถามคือนาทีนี้ระหว่างตลาดหุ้นสหรัฐฯและตลาดหุ้นจีน ตลาดไหนมีความน่าสนใจในการจะเข้าลงทุนมากกว่ากัน
หากใช้ปัจจัยทางเทคนิคเข้ามาวิเคราะห์ ดัชนี S&P500 และ NASDAQ มีแรงซื้อกลับที่แรงตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้ภาพทางเทคนิคในระยะสั้นกลับมาดูดีขึ้น มองว่าเป็นจังหวะที่จะเข้าลงทุนได้ในระยะสั้นถึงกลางโดยมีเป้าหมายที่จุดสูงสุดเก่าของปีนี้
ส่วนปัจจัยพื้นฐานอาจจะต้องแบ่งหุ้นเป็นสามกลุ่ม กลุ่มแรกคือหุ้นคุณค่าหรือ Value Stock หรือหุ้นที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีถือว่ามีผลประกอบการที่เติบโตได้ดีจากการที่ผลกระทบจากไวรัสโควิดเริ่มหายไปจนจนล่าสุด FED แทบไม่ได้นำปัจจัยดังกล่าวมาพิจารณาแนวทางนโยบายการเงินแล้ว กลุ่มนี้จึงน่าสนใจในการลงทุน
ขณะที่หุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่เป็นลูกผสมระหว่างหุ้นคุณค่ากับหุ้นเติบโตอย่างกลุ่ม FAANG ยังมีผลประกอบการที่เติบโตได้อย่างดีสามารถลงทุนได้ แต่หุ้นเติบโตหรือ Growth Stock ที่เติบโตได้ดีในปี 2021 อย่างตระกูล ARK Invest ยังอาจได้รับผลกระทบจากการที่ FED จะใช้นโยบายการเงินเข้มงวดอยู่ ประกอบกับกราฟเทคนิคยังไม่บ่งบอกถึงการฟื้นตัวแม้จะเริ่มมีการปรับตัวขึ้น จึงยังไม่ใช่เวลาที่จะลงทุนแต่เริ่มที่จะจับตาอย่างใกล้ชิดได้
ด้านตลาดหุ้นจีนไม่ว่าจะดัชนีใดก็ตามภาพทางเทคนิคยังไม่ยืนยันการกลับมาเป็นขาขึ้นแต่อย่างไร สำหรับผู้ที่ลงทุนไว้ก่อนหน้านี้อาจจะต้องรอจนดัชนีไม่ลงมาทำจุดต่ำสุดใหม่ถึงจะเป็นโอกาสลงทุนเพิ่มเพื่อถัวเฉลี่ย แต่สำหรับนักลงทุนที่ยังไม่เคยลงทุนในตลาดหุ้นจีนมาก่อนสามารถแบ่งพอร์ตซื้อสัก 2-3 ครั้งได้โดยต้องมองเป็นการลงทุนในระยะยาว
ส่วนปัจจัยพื้นฐาน ถ้าเป็นหุ้นที่อิงกับเศรษฐกิจภายในของจีนยังได้รับแรงกดดันจากการที่ไวรัสโควิดยังแพร่ระบาดและรัฐบาลยังไม่ปรับนโยบายมาเป็นการอยู่ร่วมกับไวรัส แต่ยังใช้นโยบายปิดเมืองซึ่งจะส่งผลกระทบต่อรายได้ของบริษัทที่มีรายรับส่วนใหญ่จากในประเทศ
ส่วนหุ้นเทคโนโลยีจีนแม้จะปรับตัวขึ้นแรงแต่ยังไม่มีความชัดเจน จากนโยบายภาครัฐที่มีต่อหุ้นเทคโนโลยีและยังมีความเสี่ยงที่สหรัฐฯ จะแบนหุ้นเทคโนโลยีจีนที่อยู่ในสหรัฐฯ จากการที่ไปสนับสนุนฝั่งรัสเซีย ในเชิงพื้นฐานจึงยังไม่มีความชัดเจนในการลงทุน
สรุปคือตลาดหุ้นสหรัฐฯ เหมาะกับการเน้นลงทุนในระยะสั้นถึงกลาง ส่วนตลาดหุ้นจีนต้องมองภาพการลงทุนระยะยาว 1 ปี ขึ้นไปเท่านั้น เพราะระยะสั้นยังมีปัจจัยเสี่ยงอีกมาก แต่ด้วย Valuation ที่ถูกทำให้มีความน่าสนใจลงทุนในระยะยาวเกิดขึ้น ใครมีสไตล์การลงทุนแบบไหนลองเลือกสินทรัพย์ที่เหมาะสมกับตัวเองดูนะครับ