ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ อสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ชูความแกร่งผ่านสูตร Joint Venture กับพาร์ทเนอร์ ทั้งคอนโดฯ-บ้านแนวราบ-โรงแรม-คลังสินค้า เพื่อตอกย้ำความสำเร็จจากกลยุทธ์ร่วมทุนกว่า 7 ปี ที่สามารถปิดดีลโครงการได้ถึง 119 โครงการ คิดเป็นมูลค่ากว่า 1.86 แสนล้านบาท พร้อมลุยเปิดตัวโครงการร่วมทุนใหม่ในปี 2568 อย่างต่อเนื่อง
นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยถึงแนวนโยบายในการดำเนินธุรกิจภายใต้สถานการณ์การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจากสภาพเศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน
บริษัทออริจิ้นฯ และ บริษัทในเครือของออริจิ้นฯ มีกลยุทธ์ในการปรับตัวและต่อยอดธุรกิจ ผ่านโมเดลต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการขยายธุรกิจทั้งเชิงกว้างและเชิงลึก รวมถึงเดินหน้ากลยุทธ์ “Open Platform” ร่วมทุน (Joint Venture: JV) กับพาร์ทเนอร์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
รวมทั้งแลนด์ลอร์ดเจ้าของที่ดินกระจายพอร์ตในหัวเมืองหลักต่าง ๆ ซึ่งในปี 2567 ยังคงมีโครงการร่วมทุนใหม่ รวม 14 โครงการ ทั้งโครงการคอนโดมิเนียม โครงการบ้านจัดสรร โรงแรม และคลังสินค้า ทำให้สิ้นปี 2567 กลุ่มบริษัท มีโครงการร่วมทุนรวม 119 โครงการ มูลค่ารวม 186,960 ล้านบาท และกว่า 7 ปีที่ ออริจิ้น เริ่มมี Platform ร่วมทุน โดยมีสัดส่วนของพาร์ทเนอร์แบ่งเป็น พาร์ทเนอร์สัญชาติญี่ปุ่น 72%, ไทย 24% และเกาหลี 4%
โดยสัญชาติญี่ปุ่นหลัก ๆ คือกลุ่ม บริษัท โนมุระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ พันธมิตรต่างชาติจากญี่ปุ่นรายแรกของออริจิ้น ที่ร่วมลงทุนมาอย่างยาวนานนับตั้งแต่กลางปี 2560 จนถึงปัจจุบันมีโครงการที่เกิดจากการร่วมทุนทั้งสิ้น 27 โครงการ มูลค่ารวม 62,671 ล้านบาท และ บริษัท โตคิว แลนด์ เอเชีย จำกัด บริษัทพัฒนาและลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในเครือโตคิว แลนด์ คอร์เปอเรชั่น หนึ่งในผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์จากประเทศญี่ปุ่น มีโครงการร่วมทุนร่วมกันทั้งสิ้นมากกว่า 10 โครงการ
ขณะที่พันธมิตรสัญชาติเกาหลี คือ บริษัท จีเอส เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น คอร์ปอเรชั่น จำกัด(GS E&C) กลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ระดับโลกของเกาหลีใต้ ที่ลงทุนร่วมกันมาตั้งแต่ต้นปี 2563 ปัจจุบันร่วมพัฒนาโครงการร่วมกันทั้งสิ้น 3 โครงการ มูลค่า 5,600 ล้านบาท และยังมีพาร์ทเนอร์ในไทยอีกหลายรายที่พัฒนาโครงการร่วมกัน อาทิ บริษัท บุญภา 2020 จำกัด และ บริษัท เกษมบัณฑิต จำกัด เป็นต้น
ผู้บริหารของบริษัท ออริจิ้นฯ ยังกล่าวด้วยว่า การขับเคลื่อนธุรกิจผ่านความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์เป็นอีกหนึ่งสูตรธุรกิจที่จะช่วยสร้างการเติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืนให้กับทั้งสององค์กร แบบ Win-Win ซึ่งถือเป็นการเติมเต็มซึ่งกันและกันทั้งด้านเงินทุน ประสบการณ์ การแลกเปลี่ยน Know How การพัฒนาที่อยู่อาศัยให้ตอบโจทย์การใช้ชีวิตแห่งอนาคต
ขณะเดียวกันยังสะท้อนถึงความไว้วางใจจากพันธมิตร ที่มีความเชื่อมั่นในศักยภาพและความแข็งแกร่งของ ออริจิ้น ในหลาย ๆ ด้าน ทั้งทีมงานมืออาชีพ การพัฒนาคุณภาพสินค้า การพัฒนาแบรนด์ รวมถึง การให้ความสำคัญข้อมูล Insight ของผู้บริโภค เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
สำหรับ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI มีโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย ภายใต้ 4 กลุ่มธุรกิจ
1. กลุ่มธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Residential Development Business) พัฒนาคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรรมาแล้ว 167 โครงการ (ณ สิ้นไตรมาส 4/2567) เช่น แบรนด์ พาร์ค ออริจิ้น (Park Origin), โซ ออริจิ้น (So Origin), ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ (Origin Plug & Play), ไนท์บริดจ์ (Knightsbridge), นอตติ้ง ฮิลล์ (Notting Hill), ออริจิ้น เพลส (Origin Place), ดิ ออริจิ้น (The Origin), เคนซิงตัน (Kensington), แฮมป์ตัน (Hampton), ออริจิ้น เพลย์ (Origin Play), บริกซ์ตัน (Brixton) และ บริทาเนีย (Britania) เป็นต้น รวมมูลค่าโครงการทั้งสิ้นกว่า 259,072 ล้านบาท โดยกลุ่มโครงการบ้านจัดสรร หรือที่อยู่อาศัยแนวราบ ดำเนินการภายใต้บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) หรือ BRI เน้นกลุ่มบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ส่วนกลุ่มโครงการแนวสูงหรือคอนโดมิเนียม ดำเนินการภายใต้บริษัท ออริจิ้น เวอร์ติเคิล คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ ORIGIN VERTICAL
2. กลุ่มธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ (Recurring Income Business) เช่น โรงแรม เซอร์วิสอพาร์ตเมนท์ ค้าปลีก
3. กลุ่มธุรกิจบริการ (Service Business) เช่น ธุรกิจให้บริการลูกบ้าน ธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจตัวแทนซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์
4. กลุ่มธุรกิจเมกะเทรนด์ระยะยาว (Mega Trends) เป็นกลุ่มธุรกิจใหม่ที่มีแนวโน้มเติบโตในระยะยาว เช่น ธุรกิจโลจิสติกส์ ธุรกิจเฮลท์แคร์ ธุรกิจพลังงาน ธุรกิจด้านการเงิน ธุรกิจเอนเตอร์เทนเมนท์ ฯลฯ เพื่อยกระดับคุณภาพการใช้ชีวิตของผู้บริโภคแบบครบวงจร