เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา Apple บริษัทเทคโนโลยีแถวหน้าที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลกกว่า 3.5 ล้านดอลลาร์ (118 ล้านล้านบาท) ได้รับข่าวดี ชนะคดีความฟ้องร้องด้านสิทธิบัตร ได้เงินชดเชยมาทั้งสิ้น 250 ดอลลาร์ (8,449 บาท) เล่นใหญ่ได้น้อยขนาดนี้ Apple ทำเพื่ออะไร
คดีความดังกล่าว คือคดีความฟ้องร้องระหว่าง Apple และ Masimo ในข้อหาว่าสินค้าสมาร์ตวอตช์รุ่น W1 และ Freedom ของแบรนด์ จงใจละเมิดสิทธิบัตรการออกแบบของ Apple โดยคณะลูกขุนก็ตัดสินให้ Apple เป็นฝ่ายชนะ และ Masimo ต้องจ่าย 250 ดอลลาร์ ค่าเสียหายขั้นต่ำที่กฎหมายให้เรียกร้องได้
แน่นอนว่าเงินจำนวนนี้ไม่คุ้มค่าดำเนินการและเวลาที่เสียไปของ Apple เลย แต่ทนายของ Apple กล่าวว่า “เราไม่ได้ฟ้องเพื่อเงิน…เป้าหมายสูงสุดของคดีนี้คือการได้ออกคำสั่งห้ามขายสมาร์ตวอตช์ของ Masimo หลังถูกตัดสินว่าละเมิด(สิทธิบัตรของ Apple)” และหลังได้รับชัยชนะ Apple แถลงว่า “ยินดีที่คำตัดสินของคณะลูกขุนในวันนี้จะช่วยปกป้องนวัตกรรมที่พวกเราคิดค้นขึ้นมาในนามลูกค้าของเรา”
แม้สิ่งที่ Apple ว่ามาจะทำบริษัทดูทุ่มเทและจริงใจ แต่จริงๆ แล้วไฟต์นี้อาจเป็นเพียงการแก้แค้นที่เปล่าประโยชน์ เพราะนอกจากจะไม่ได้เงินถุงเงินถังกลับมาแล้ว สินค้ารุ่นที่ถูกสั่งห้ามขาย Masimo ก็ได้เลิกจำหน่ายไปแล้ว และการออกแบบที่ว่าก็ไม่มีในสินค้าปัจจุบันของ Masimo นั่นทำให้ Apple แทบไม่ต่างจากคว้าน้ำเหลว และเอาคืนอะไรไม่ได้เลยจากคดีความครั้งก่อนหน้า
ย้อนไปในปี 2023 คณะกรรมมาธิการการค้าระหว่างประเทศสหรัฐ (ITC) ได้สั่งห้าม Apple ไม่ให้นำเข้าและจำหน่าย Apple Watch Series 9 และ Apple Watch Ultra 2 หลังตัดสินว่าสินค้าดังกล่าวได้ละเมิดสิทธิบัตรการวัดระดับออกซิเจนในเลือดของ Masimo กล่าวว่า Apple มาซื้อตัวพนักงานและขโมยเทคโนโลยีของพวกเขาไป ในขณะที่ Apple เองก็กล่าวหาว่า “Masimo พยามอย่างไม่ถูกต้อง ในการใช้ ITC กีดกันสินค้าที่อาจช่วยชีวิตได้จากผู้บริโภคอเมริกันหลายล้านคน ในขณะที่เปิดทางให้นาฬิกาของตัวเองที่ลอกเลียนแบบ Apple มา” และยังได้ฟ้องกลับ Masimo ในคดีล่าสุดนี้ด้วย
ทั้งนี้ Apple ก็ได้พยายามยื่นอุทธรณ์ให้ขายสินค้าทั้งสองรุ่นได้ด้วยการตัดฟีเจอร์วัดออกซิเจนในเลือดออก ซึ่งต้องใช้เวลา ทำให้ช่วงปลายเดือนธันวาคมปี 2023 มีเพียง Apple Watch SE ซึ่งไม่มีฟีเจอร์นี้เท่านั้นที่ได้วางขายในสหรัฐอเมริกา ส่วนรุ่น 9 และ Ultra 2 ได้ขายจริงในเดือนมกราคม 2024 ซึ่งก็ยังส่งผลให้รุ่นล่าสุด Apple Watch 10 ที่วางขายในสหรัฐอเมริกาไม่มีฟีเจอร์นี้เช่นกัน (ส่วนในประเทศอื่น รวมถึงไทย ใช้ได้ตามปกติ)
สุดท้ายนี้ ใครอ่านแล้วคิดเห็นอย่างไร คิดว่า Apple หรือ Masimo ผิดจริงไหม ลองคอมเมนต์บอกกันหน่อย