ขนมช็อกโกแลต M&M’s คือหนึ่งในช็อกโกแลตที่ขายดีที่สุดในโลก ได้รับความนิยมสูงจากผู้บริโภคแทบทุกช่วงวัย แต่ก่อนจะมาเป็นช็อกโกแลตแสนอร่อยในสโลแกน “ละลายในปาก แต่ไม่ละลายในมือ” เรื่องราวมันเริ่มมาจากความร้าวฉานในครอบครัวเจ้าของตระกูลช็อกโกแลตยักษ์ใหญ่ Mars
แฟรงก์ คลาเรนซ์ มาส์ (Frank Clarence Mars) เจ้าของแบรนด์ Mars เริ่มเปิดร้านขายขนมตั้งแต่อายุ 19 ในมินิโซตา แต่หลังจากพยายามอยู่พักหนึ่งก็ไปต่อไม่ไหว เพราะเงินทุนน้อย และยังมีเจ้าตลาดอย่าง Hershey’s ที่ยากจะแข่งขัน แฟรงก์จึงตัดใจวางมือ ไปทำงานเซลล์แทน พร้อมทั้งแต่งงานและมีลูกชาย ชื่อ ฟอร์เรสต์ เอ็ดเวิร์ด มาส์ (Forrest Edward Mars)
แต่ไม่นานครอบครัวแตกแยกจนต้องหย่ากับภรรยา และเสียสิทธิ์การเลี้ยงดูลูกชายไป ฟอร์เรสต์จึงต้องไปอยู่กับตายายที่แคนาดา ถึงอย่างนั้นแฟรงก์ก็ยังกอดความเชื่อมั่นในฝีมือทำช็อกโกแลตของตัวเองไว้ แต่งงานใหม่ และกลับมาทำธุรกิจขายขนมอีกครั้ง ซึ่งก็ล้มลุกคลุกคลานอยู่ไม่น้อย จนไปลืมตาอ้าปากได้ด้วยขนมที่ชื่อว่า Mar-O-Bar
ช่วงนั้นฟอร์เรสต์กำลังเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัย Yale ซึ่งก็มีหัวด้านธุรกิจไม่ต่างจากพ่อ ช่วงนั้นเขาจึงหางานพิเศษทำ ด้วยการรับจ้างไปแปะโปสเตอร์ขายบุหรี่ Camel ในชิคาโกจนโดนตำรวจจับ และต้องให้แฟรงก์ผู้เป็นพ่อมาประกันตัว
เมื่อได้พบกัน ฟอร์เรสต์ก็เริ่มมีไอเดียเกี่ยวกับธุรกิจของพ่อ ตอนที่อยู่กับตายายที่แคนาดา เขาเห็นช็อกโกแลตแท่งสอดไส้เยอะมาก ในขณะที่ Hershey’s เจ้าตลาดในอเมริกายังขายแต่ช็อกโกแลตแท่งทั่วไป ฟอร์เรสต์จึงให้ไอเดียแฟรงก์ว่าลองเอามิลก์เชคใส่ในช็อกโกแลตสิ จึงได้เกิดเป็น Milky Way Bar ในปี 1923 ที่ขายดีมากจนแทบไม่ต้องโฆษณา และพาให้บริษัทเติบโตครั้งใหญ่ ถึงกับมีช่วงที่ซัปพลายช็อกโกแลตไม่พอจนต้องไปซื้อจาก Hershey’s มาใช้
ต่อมาในปี 1929 บริษัทของแฟรงก์เริ่มใช้ชื่อ Mars Inc และฟอร์เรสต์ก็ได้เริ่มเข้ามาร่วมธุรกิจครอบครัวอย่างเป็นทางการ และสร้างสรรค์ Snickers ขึ้นมา ซึ่งก็สำเร็จมาก ๆ แต่ยิ่งบริษัทเติบโตครอบครัวก็ยิ่งเปราะบาง
แฟรงก์ กับ ฟอเรสต์เริ่มมีวิสัยทัศน์ที่ต่างกัน จนเกิดเป็นความขัดแย้งทางธุรกิจ ฟอร์เรสต์อยากให้ขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศเพื่อขายตลาดโลก ในขณะที่แฟรงก์ต้องการโฟกัสในตลาดอเมริกา และเมื่อตกลงกันไม่ได้ สุดท้ายแฟรงก์ก็จำใจจ้างลูกให้ออกจากบริษัทไป
1932 ฟอร์เรสต์ย้ายไปสหราชอาณาจักร ทำงานให้ Tobler และ Nestle สะสมประสบการณ์จนใช้สูตรของ Milky Way มาผลิตช็อกโกแลต Mars ขายที่อังกฤษ จากนั้นไม่นาน แฟรงก์จากโลกนี้ไปในปี 1935 และทิ้งธุรกิจยักษ์ใหญ่ของเขาไว้
ฟอร์เรสต์ยังอยู่ยุโรปในช่วงสงครามกลางเมืองที่สเปน เขาสังเกตว่าเหล่าทหารมักพกขนมหรือช็อกโกแลตไว้กินในสนามรบด้วยเสมอ พกไปได้ยังไงให้สะดวก และทำไมมันไม่ละลาย ซึ่งคำตอบที่ได้คือขนมที่ชื่อ Smarties เป็นช็อกโกแลตก้อนกลมเล็ก ๆ ที่เคลือบด้วยน้ำตาล ทำให้ช็อกโกแลตข้างในไม่ละลายออกมา และพกพาสะดวก
ฟอร์เรสต์หอบไอเดียกลับบ้านมารับช่วงต่อธุรกิจของพ่อในปี 1940 ช่วงนั้นมีสงครามโลกครั้งที่สองพอดี ขนมแบบนี้น่าจะตอบโจทย์กองทัพอเมริกัน แต่ด้วยภาวะสงครามก็ทำให้ Mars ไม่สามารถผลิตช็อกโกแลตได้มากพอ ฟอร์เรสต์จึงตัดสินใจหอบเอาไอเดียไปขอความร่วมมือจากพาร์ตเนอร์เก่าอย่าง Hershey’s ยักษ์ใหญ่ที่ยังคงผลิตช็อกโกแลตได้มหาศาลเพื่อส่งให้กองทัพช่วงสงคราม
ในช่วงนั้น Hershey’s ก็กำลังเกิดการเปลี่ยนมือ บรูซ เมอร์รี (Bruce Murrie) จะต้องเข้ารับตำแหน่ง CEO ต่อจากผู้เป็นพ่อ ก็ต้องการพาธุรกิจนี้เติบโตยิ่งขึ้นเช่นกัน ทายาทจากสองยักษ์ใหญ่จึงได้ตกลงที่จะลงเรือลำใหญ่นี้ด้วยกัน Hershey’s จะส่งช็อกโกแลตให้ ส่วน Mars ก็รับหน้าที่ผลิตและขาย พวกเขาจึงตั้งชื่อมันว่า M&M’s จากชื่อท้ายของทั้งคู่ Mars และ Murrie จดขึ้นเป็นบริษัทใหม่ภายใต้ Mars Ince ซึ่งMars ถือหุ้นอยู่ 80% และ Bruce Murrie ถือ 20% และเริ่มผลิตในปี 1941
ตอนแรกพวกเขาเน้นผลิตขายให้กับกองทัพเป็นหลัก แต่เมื่อสงครามสงบลงเหล่าทหารก็เอามาเล่าปากต่อปากให้คนที่บ้านฟัง จนได้รับความนิยมมากขึ้นในหมู่ประชาชนคนทั่วไป M&M’s จึงหันมาขายตลาดพลเรือนแทน และยอดขายก็พุ่งขึ้นมหาศาล จนทำให้มีแบรนด์ลอกเลียนแบบมากมาย ปี 1950 M&M’s จึงได้แสตมป์ตัวอักษร m ลงบนขนมทุกเม็ด เพื่อเป็นสัญลักษณ์
ถึงจุดหนึ่งการร่วมงานระหว่างพาร์ตเนอร์ก็ไม่ได้เป็นไปด้วยดีอย่างที่เคย ฟอร์เรสต์จึงได้ซื้อหุ้น 20% คืนจากบรูซในเวลาต่อมา และเมื่อจบสงคราม เขาก็ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ช็อกโกแลตจาก Hershey’s แล้ว แต่สินค้ายังคงขายดีไม่หยุด M&M’s ไปถึงจุดที่เป็นสินค้าที่ขายดีที่สุดของ Mars และเป็นหนึ่งในช็อกโกแลตที่ขายดีที่สุดในโลกด้วย