KTC หรือ บมจ. บัตรกรุงไทย กลายเป็นประเด็นร้อนในตลาดทุนไทย เมื่อราคาหุ้นร่วงลงต่อเนื่อง 3 วันติด ตั้งแต่วันที่ 23 มิ.ย. 2568 จนทำให้นักลงทุนจำนวนมากตั้งคำถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับหุ้นใหญ่ที่เคยมั่นคงตัวนี้
จากการติดตามสถานการณ์และคำชี้แจงจากบริษัท ทำให้สามารถลำดับเหตุการณ์และวิเคราะห์ได้ดังนี้:
ลำดับเหตุการณ์: KTC กับ “ระเบิดฟอร์ซเซล” ที่สะเทือนตลาด
1. ก่อนเกิดเหตุ: นักลงทุนรายใหญ่ ถือหุ้น KTC มากถึง 12.7% หรือ 327 ล้านหุ้น (มูลค่าเกือบหมื่นล้านบาท) ใช้บัญชีมาร์จินกู้เงินเพื่อลงทุน
2. 23 มิ.ย. 2568: หุ้น KTC ร่วงชนฟลอร์ -15% โดยไม่มีข่าวลบเกี่ยวกับธุรกิจ
– หุ้นอื่นที่มีนักลงทุนรายเดียวกัน เช่น BEC, TPS, XPG ก็ร่วงพร้อมกัน
– ตลาดเริ่มตระหนักว่าอาจเกิด “Forced Sell” หรือการบังคับขายหุ้นจำนวนมากจากมาร์จินที่ผิดนัด
3. วันต่อมา: ราคาหุ้นยังร่วงต่อเนื่อง 2 วันติด — สะท้อนแรงขายขนาดใหญ่ที่ยังไม่มีฝั่งซื้อรับได้ทัน
4. 23 มิ.ย. 2568 : มี Big Lot เข้ามาซื้อหุ้น KTC เรียกได้ว่ามูลค่าการซื้อขาย KTC วันนี้ฝุ่นตลบ เพราะอาจจะมีนักลงทุนบางกลุ่มมองว่าราคาลงมาที่ปัจจัยพื้นฐานแล้ว ปิดตลาดราคา 26.50 บาท บวกเพิ่มขึ้น 1.50 บาท หรือคิดเป็น 6%
มุมมองจาก KTC: “พื้นฐานยังแกร่ง ไม่มีเหตุการณ์ลบ”
นางพิทยา วรปัญญาสกุล CEO ของ KTC ออกจดหมายชี้แจงถึงตลาดหลักทรัพย์ฯ ระบุว่า : “แม้ราคาหุ้นจะลดลงต่อเนื่อง แต่บริษัทขอยืนยันว่า ปัจจัยพื้นฐานยังแข็งแกร่ง และ ไม่มีเหตุการณ์สำคัญใด ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานหรือฐานะทางการเงิน”
บริษัทชี้แจงเพิ่มเติมว่า:
• การเคลื่อนไหวของราคาหุ้นเป็นไปตาม กลไกตลาด และ ปัจจัยภายนอก
• หากมีข้อมูลที่มีสาระสำคัญ จะเปิดเผยผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ อย่างโปร่งใส
วิเคราะห์เชิงลึก: เรื่องนี้สะท้อนอะไร?
ประเด็น 1: ฟอร์ซเซลสร้าง “ราคาหลอก”
ราคาหุ้นที่ตกแรงอาจไม่ได้สะท้อนพื้นฐานที่แท้จริง แต่เป็นผลจากการบังคับขายเชิงเทคนิค ทำให้ตลาดอาจตีมูลค่าผิดชั่วคราว
ประเด็น 2: บริษัทต้องเร่งฟื้นความเชื่อมั่น
แม้บริษัทไม่มีปัญหาทางธุรกิจ แต่เหตุการณ์นี้ทำให้นักลงทุน “ตกใจ” จนอาจถอนตัวออก บริษัทจึงจำเป็นต้องสื่อสารอย่างชัดเจนและต่อเนื่อง เพราะความตกใจอาจทำให้นักลงทุนอื่น ๆ พร้อมใจขายได้ในทุกราคาเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม จากราคาปิดตลาดที่ 26.50 บาท ณ วันที่ 25 มิถุนายน 2568 กำไรต่อหุ้น(EPS) ของ KTC อยู่ที่ 0.72 บาท ขณะที่ P/E อยู่ที่ 9.12 เท่า ซึ่งเป็นอัตราส่วนที่น่าสนใจ
ประเด็น 3: บทเรียนสำหรับตลาดทุน
• กู้เงินเพื่อซื้อหุ้นจำนวนมาก = ความเสี่ยงเชิงระบบ
• นักลงทุนรายใหญ่ควรถูกตรวจสอบความเสี่ยง (risk exposure) มากกว่านี้
• กลไก “มาร์จิน” ที่โบรกเกอร์ใช้ควรมีระบบเตือนภัยและคุ้มครองตลาดโดยรวม
สรุปในประโยคเดียว
KTC ไม่ได้มีปัญหาพื้นฐานใด ๆ — แต่นักลงทุนรายใหญ่ที่ใช้เงินกู้หนักเกินตัว เป็นผู้จุดชนวนให้ราคาหุ้นพังลงแบบไม่เกี่ยวกับบริษัท