ภาพรวมของตลาดหุ้นไทยในปี 2567 เรียกได้ว่าเป็นการทดสอบความแข็งแกร่งของนักลงทุนอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีแรก สถานการณ์บวกกับปัจจัยหลายด้านอาจทำให้เหล่านักลงทุนถึงกับยอมแพ้ แม้ว่าจะมีแรงบวกกลับมาในช่วงครึ่งหลังของปีแต่ดูจะยังไม่เพียงพอให้นักลงทุนยิ้มหวานได้มากนัก
ปัจจัยที่ดูจะส่งผลต่อนักลงทุนที่มีความเปราะบางและอ่อนไหวต่อสถานการณ์ได้ง่ายคือ ความกังวลต่อดอกเบี้ยนโยบายของไทย รวมถึงการผิดนัดชำระหนี้ของบริษัทขนาดใหญ่ในตลาด แม้จะมีแรงกระตุ้นอยู่บ้างจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทยในฐานะหัวหน้ารัฐบาล ทว่า ปัจจัยภายนอกประเทศสร้างผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
โดยในครึ่งปีหลังที่ตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มการปรับตัวสูงขึ้น เมื่อตลาดหลักทรัพย์เริ่มใช้มาตรการ Uptick Rule ตั้งแต่ 1 กรกฎาคม 2567 รวมถึงมาตรการกำหนดเกณฑ์หุ้นที่จะ Short Selling ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 21 มิถุนายน 2567 ซึ่งก่อนหน้านี้ตลาดหุ้นมีการปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องจากกระแสข่าวว่านักลงทุนบางกลุ่มมีการทำธุรกรรมแบบ Naked Short และใช้โปรแกรม High Frequency Trading ที่เพิ่มความผันผวนในตลาด
ในช่วงเวลานั้นตลาดหุ้นมีปัจจัยกดดันจากแรงขายในหุ้นกลุ่มธนาคาร ที่กังวลเกี่ยวกับผลกระทบจากการปล่อยกู้ให้กับ EA ที่ผู้บริหารถูก ก.ล.ต. กล่าวโทษในประเด็นการกระทำทุจริต ทำให้บริษัทเสียผลประโยชน์ และส่งผลให้ตลาดหุ้นร่วงไปอยู่ที่ 1,275 จุด นี่เป็นจุดต่ำสุดในรอบ 4 ปี
นอกจากกรณีดังกล่าวจะส่งผลร้ายต่อตลาดหุ้นไทย และทำให้ตัวเลขบนกระดานหุ้นติดตัวแดงนานหลายต่อหลายวัน ยังมีความเสียหายที่เกิดจาก Force Sell จาก 7 หุ้น มูลค่ามาร์เก็ตแคปหายกว่า 1.5 แสนล้านบาท
โดยข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์ระบุว่า 7 หุ้นที่ถูก Force Sell ได้แก่ 1. EA บมจ. พลังงานบริสุทธิ์ 2. บมจ.เน็กซ์ พอยท์ (NEX) 3. บมจ.สบาย เทคโนโลยี (SABUY) 4. บมจ.เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์ (NRF) 5.บมจ. อิ๊กดราซิล กรุ๊ป (YGG) 6. บมจ. แอสเฟียร์ อินโนเวชั่นส์ (AS) และ 7. บมจ. ทีเอสอาร์ ลิฟวิ่ง โซลูชั่น (TSR)
ต้องบอกว่า นี่เป็นเพียง 7 บริษัทในตลาดที่ ผู้ถือหุ้นหรือผู้บริหารมีการยอมรับว่าถูก Force Sell แต่หลังม่านในตลาดซื้อขายอาจจะยังมีผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่ถูก Force Sell แต่ยังไม่มีการเปิดเผยอีกหรือไม่
ล่าสุดในรายของหุ้น RS ถูกจับตามองอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมา เพราะมีการนำหุ้นจำนวนหนึ่งไปเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันธุรกรรมทางการเงินส่วนบุคคล จนราคาหุ้นปรับตัวลดลงกระทั่งเกิดการบังคับขายหลักทรัพย์ตามเงื่อนไขสัญญาของบริษัทผู้ปล่อยกู้
แน่นอนว่านี่ชี้ให้เห็นถึงปัญหาการขาดสภาพคล่องอย่างหนักของบริษัท RS มีข่าวว่า เฮียฮ้อกู้เงินจากหลายแหล่งรวมกันประมาณ 1 พันล้านบาท ขณะที่ผลประกอบการของอาร์เอสในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 กำไรสุทธิเหลือเพียง 12 ล้านบาท เมื่อเทียบกับระยะเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้ามีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,366.95 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม คนที่รับเคราะห์จากการที่ผู้ถือหุ้นใหญ่ของ RS นำหุ้นไปจำนำจนถูกบังคับหายหุ้น คือผู้ถือหุ้นรายย่อยจำนวน 8,506 ราย และยังต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่รอ RS อยู่คือ หนี้ที่รอชำระ ซึ่งผู้บริหาร RS นำหุ้นไปค้ำประกันเงินกู้ อาจจะถูกบังคับขายอีกในอนาคต
กระนั้น RS ไม่ใช่บริษัทเดียวที่ถูกบังคับขายหุ้นจากการนำหุ้นไปเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน ต้องบอกว่าโรคจำนำหุ้นนั้นระบาดอย่างหนักตั้งแต่ครึ่งปี 2567 มีข้อมูลหลายสิบบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์มีการนำหุ้นไปค้ำประกันเงินกู้เช่นกัน นี่อาจจะเป็นสาเหตุที่ตลาดหุ้นไทยเกิดวิกฤตในช่วงหนึ่ง พบว่าราคาหุ้นร่วงลงอย่างมาก แน่นอนว่าสาเหตุหลักของการเกิด Force Sell ส่วนใหญ่เกิดจากการกระทำของผู้ถือหุ้นใหญ่ของเจ้าของหุ้นเอง
ต้องบอกว่าการนำหุ้นไปค้ำประกันเงินกู้ ของบริษัทจำกัดมหาชน สามารถได้ ไม่ผิดหลักของตลาดหลักทรัพย์แต่อย่างใด ทว่าหากมองในแง่มุมของธรรมาภิบาล การกระทำดังกล่าวส่งผลกระทบต่อผู้ถือหุ้นรายย่อยไม่ว่าจะมองมุมไหนก็ผิดหลักธรรมาภิบาลของตลาดหลักทรัพย์
ธรรมาภิบาลที่ ก.ล.ต. ให้ความสำคัญในด้านความซื่อสัตย์ การไม่สร้างผลกระทบในทางลบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย นั่นคือผู้ถือหุ้นรายย่อย และโดยเฉพาะผลลบต่อความเชื่อมั่นของตลาดหุ้นไทย
แม้ว่ากรณีการนำหุ้นไปค้ำประกันเงินกู้จะสามารถทำได้ และไม่ใช่การทุจริตเช่นที่เคยเกิดขึ้นกับหุ้นรายใหญ่ที่เคยเป็นข่าว แต่การที่บริษัทที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ด้วยประสงค์จะระดมทุนเพื่อการขยายกิจการและการลงทุนในอนาคต ผู้บริหารหรือผู้ถือหุ้นใหญ่จะต้องไม่ปล่อยให้ผู้ถือหุ้นรายย่อยเสี่ยงกับการกระทำที่ไม่เหมาะสม และปล่อยให้ผู้ถือหุ้นมองหาทางรอดด้วยตัวเอง
ล่าสุด สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาปรับปรุงกฎเกณฑ์การเปิดเผยข้อมูลหุ้นที่นำไปค้ำประกัน เพื่อประโยชน์แก่นักลงทุนประกอบการตัดสินใจลงทุน
โดยนายเอนก อยู่ยืน รองเลขาธิการและโฆษก สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า ก.ล.ต. กำลังหารือร่วมกับ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นกับนักลงทุนหลังจากผู้บริหารหรือผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) จำนำหุ้น แล้วเกิดปัญหาสภาพคล่องจนถูก Forse Sell หรือการถูกบังคับขายหุ้นทุกราคา จากการนำหุ้นไปวางเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน แล้วราคาหุ้นปรับตัวลงจนมีมูลค่าต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด ส่งผลโดยตรงต่อราคาหุ้นและนักลงทุนรายย่อย
ก.ล.ต. จึงกำหนดหลักเกณฑ์เพิ่มเติมเกี่ยวกับการเปิดเผยข้อมูลการจำนำหุ้นของผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในบริษัทจดทะเบียน คาดว่าจะได้ข้อสรุปในช่วงไตรมาส 1/2568
ขณะที่บทลงโทษของการไม่รายงานเรื่องการจำนำหุ้น เบื้องต้นตามกฎหมายคาดว่าจะมีทั้งโทษปรับและโทษจำคุก โดยปัจจุบัน ก.ล.ต. กำลังศึกษา และถือเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ทุกคนให้ความสำคัญ