ในปัจจุบันคงไม่มีใครไม่รู้จัก McDonald’s แบรนด์ร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดที่มีสาขามากที่สุดในโลก กว่า 40,000 สาขา กินส่วนแบ่งตลาดอาหารฟาสต์ฟู้ดกว่า 43% และทำรายได้รวมในปี 2023 ไปมากกว่า 25,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตั้งแต่ก่อตั้งในปี 1940 ความยิ่งใหญ่ของ Mcdonald’s ก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ และเติบโตมากในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 ไปพร้อม ๆ กับน้ำหนักตัวของชาวอเมริกัน
เมื่อ 20 กว่าปีก่อนในช่วงต้นปี 2000s McDonald’s มีอาหารขนาดใหญ่พิเศษอย่าง Super Size ให้ผู้บริโภคเลือกอัปเกรดได้ในราคาสุดคุ้มที่ยากจะปฏิเสธ และอย่างที่รู้กันดีว่าชาวอเมรกิกันกินฟาสต์ฟู้ดกันเป็นปกติอยู่แล้ว ชาวอเมริกันกว่า 30% ราว 100 ล้านคนในตอนนั้นเป็นโรคอ้วน หรือเป็นเบาหวาน ซึ่งกว่า 300000 คนเสียชีวิตจากโรคที่เกี่ยวข้องกับเบาหวานทุกปี ปัญหานี้จึงทำให้ชาวอเมริกันส่วนหนึ่งถึงกับฟ้องร้องแมคโดนัลด์ที่ทำให้พวกเขาอ้วน
นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นไอเดียของ มอร์แกน สเปอร์ล็อก (Morgan Spurlock) ผู้กำกับชาวอเมริกันที่ตัดสินใจทำการทดลองสุดขั้วกับตัวเอง กินแมคโดนัลด์ทุกมื้อต่อเนื่อง 30 วัน โดยต้องเลือก Super Size ทุกครั้งที่พนักงานเสนอ แล้วดูว่ามันส่งผลกับสุขภาพของเขาอย่างไร พร้อมถ่ายทำเป็นภาพยนตร์สารคดีในชื่อ Super Size me (2004)
ก่อนเริ่มการทดลอง สเปอร์ล็อกได้ตรวจสุขภาพอย่างละเอียดกับแพทย์ถึง 3 คน และผลการตรวจร่างกายออกมาดีมาก สุขภาพเขาอยู่ในเกณฑ์ที่ดีจากการทานอาหารที่ดีมาตั้งแต่เด็ก แต่ทุกอย่างกำลังจะเปลี่ยนไป
สเปอร์ล็อกเริ่มทานฟาสต์ฟู้ดจากแมคทุกมื้อติดต่อกันทุกวัน ในช่วงวันแรก ๆ เขารู้สึกแย่ทันที ถึงกับบอกว่าช่วงท้องของเขามันรู้สึกไม่ค่อยดี และทุกวันที่ผ่านไปมันก็ส่งผลกับร่างกายเขามากขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งพอวันท้าย ๆ อะไร ๆ ก็ยิ่งแย่ลง เขามีทั้งอาการเจ็บหน้าอก มีกรดมาก ปวดท้อง รวมถึงค่าตับที่เข้าขั้นแย่ จนหมอต้องแนะนำให้หยุดก่อนจะสาย แต่สุดท้ายเขาก็ทำต่อไปจนจบ
ครบสามสิบวัน สเปอร์ล็อกน้ำหนักขึ้นมา 24.5 ปอนด์ หรือประมาณ 11 กิโลกรัม มีไขมันพอกตับ และคอเรสเตอรอลสูงขึ้น 65 จุด ไขมันในร่างกายสูงขึ้นจาก 11% เป็น 18% พร้อมทั้งมีความเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจเพิ่มขึ้นเกือบเป็นเท่าตัว
นอกจากนี้เขายังรู้สึกซึมเศร้าบ่อย อารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ และที่น่าเศร้าคือ สมรรถภาพทางเพศเสื่อมลงด้วย หมอยังแนะนำให้เขางดฟาสต์ฟู้ดไปอีกอย่างน้อย 1 ปีเต็มเพื่อให้ร่างกายได้ฟื้นฟู
การทดลองของสเปอร์ล็อกได้ทำให้เห็นว่าฟาสต์ฟู้ดส่งผลเสียระยะยาวกับร่างกายคนเราได้มากขนาดไหน และแม้ว่าการทดลองนี้มันจะดูบ้าบอเกินไปที่คนคนหนึ่งกินฟาสต์ฟู้ดทุกมื้อ แต่ในชีวิตจริงก็มีคนที่กินอาหารพวกนี้เป็นประจำไม่ต่างกัน ในตอนท้ายของภาพยนตร์ สเปอร์ล็อกยังได้กล่าวทิ้งท้ายว่า “ถ้าอยากกินแบบนี้ต่อไปก็ตามใจ…. ขึ้นอยู่กับว่าอยากเห็นใครในหลุมก่อนกัน แมคโดนัลด์ หรือ คุณ”
หลังจากภาพยนตร์ออกฉายในปี 2004 ก็ได้สร้างผลกระทบต่อ McDonald’s ในทันที จากเดิมที่เคยโปรโมต Super Size เต็มที่ ก็ค่อย ๆ ลดการขายลง จนสุดท้ายก็ต้องถอดไซส์นี้ออกไปภายในหนึ่งเดือน กลายเป็นจุดจบของฟาสต์ฟู้ดไซส์ยักษ์ ทั้งยังส่งผลให้กำไรของMcDonald’s หดลงไปด้วยช่วงหนึ่ง จนต้องมีการหันมาโปรโมตแคมเปญและเมนูสุขภาพเพื่อสร้างกระแสด้านบวกกลับคืนมาให้แบรนด์
ส่วน มอร์แกน สเปอร์ล็อก หลังจากนั้นเขาก็ได้เดินหน้าทำภาพยนตร์สารคดีสุดขั้วอีกหลายเรื่อง รวมทั้งกลับมาทำ Super Size Me ภาค 2 ฉายปี 2017 ด้วย ซึ่งในภาคนี้จะเน้นไปที่ไก่ทอดโดยเฉพาะ แต่เป็นเรื่องน่าเศร้าที่เขาได้เสียชีวิตไปเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ 2024 ด้วยโรคมะเร็ง
อย่างไรก็ตาม ผลงานของเขาคือการลูกขึ้นต่อต้านอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่อย่างฟาสต์ฟู้ด เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงต่อสังคมได้อย่างแท้จริง และภาพยนตร์เรื่องเดียวเรื่องนั้นของเขา ก็ได้กลายเป็นจุดจบของ McDonald’s Super Size ไปในที่สุด