ESG เริ่มมีความสำคัญต่อภาคธุรกิจและการลงทุนมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีมานี้ และจะยิ่งสำคัญในปี 2024 จากการนำของ BlackRock กองทุนผู้จัดการสินทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยมูลค่ารวมกว่า 9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
จริง ๆ ทาง BlackRock ได้มีการออกตัวสนับสนุน ESG มานานแล้ว แต่อย่างที่เห็นว่าปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมยังคงหนักขึ้นทุกปี และเรื่องของ ESG ที่เมื่อปีก่อน ๆ ยังเป็นเทรนด์ แต่มาในปีนี้มันกลายเป็นพื้นฐานสำคัญของธุรกิจที่ขาดไม่ได้อีกต่อไป
BlackRock จึงได้ยึดเอา ESG มาเป็นธีมหลักของการลงทุน ผสมผสานเข้ากับการลงทุนแบบดั้งเดิม เพื่อมุ่งสร้างผลประโยชน์และผลลัพธ์ที่ดีต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
หมายความว่า BlackRock อาจไม่ลงทุนในบริษัทไหนก็ตามที่ไม่ได้มีแนวทางสนับสนุน Net Zero หรือมีสัดส่วนรายได้มาจากการปล่อยคาร์บอนสูง
และหันมาลงทุนในบริษัทที่มีแนวทางสอดคล้องกับ UN Sustainable Development Goals (SDGs) และ The Paris Agreement on climate change ไปจนถึงสนับสนุน Net Zero Emission ภายในปี 2050 หรือเร็วกว่านั้น
และจะใช้อำนาจในการโหวตในฐานะผู้ถือหุ้น เพื่อกดดันให้บริษัทต่าง ๆ เปิดเผยความเสี่ยงต่าง ๆ ด้าน ESG ด้วย
นอกจากนี้ยังใช้ระบบให้คะแนนด้าน ESG เพื่อประเมินการจัดการความเสี่ยงและโอกาสด้าน ESG ของบริษัทต่าง ๆ เป็นเกณฑ์สำคัญในการตัดสินใจลงทุน ควบคู่กับผลประกอบการ
การเคลื่อนไหวด้าน ESG ของ BlackRock เป็นการส่งสัญญาณให้นักลงทุนและภาคธุรกิจรู้ว่าเรื่องของความยั่งยืนด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม ไม่ใช่แค่การตระหนักรู้หน้าที่ทางศีลธรรม แต่จะเป็นข้อได้เปรียบสำคัญในการสร้างมูลค่ามหาศาลจากนี้ไป
ซึ่งนี่จะส่งผลกับทั้งภาคการลงทุนและธุรกิจทั่วโลก
นักลงทุนจำนวนมากจะตามการนำของ BlackRock และเติมหุ้นหรือสินทรัพย์ ESG ในพอร์ตการลงทุนของตัวเองขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งจะกลายเป็น Domino Effect ตาม ๆ กันไป
โดยพวกกองทุนสีเขียว หุ้นพลังงานหมุนเวียน สินทรัพย์ยั่งยืนมากมายจะเป็นที่ต้องการมากขึ้น และเป็นประโยชน์กับบริษัทที่ยึดมั่นในการลด Environmental Footprint (ผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม)
ส่วนบริษัทที่ไม่สามารถดำเนินการให้ตรงตามมาตรฐาน ESG จะได้รับแรงกดดันมหาศาลจากทั้งผู้บริโภค หน่วยงานควบคุม/ตรวจสอบ พนักงาน และโดยเฉพาะจากผู้ถือหุ้น ให้ปรับตัว Transform Business Models ให้สอดรับกับมาตรฐานด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม ไม่งั้นอาจต้องเสียหายหลายล้าน
การเปิดเผยรายงานด้าน ESG รวมถึงการให้คะแนน จะมีมาตรฐานและถูกทำให้โปร่งใสมากขึ้น เพื่อให้นักลงทุนสามารถตรวจสอบ และประเมินเปรียบเทียบการดำเนินการด้านความยั่งยืนได้ และจะเป็นโอกาสสำคัญให้กลุ่มธุรกิจ Data Providers ผู้ตรวจสอบ Consultants และองค์กรด้าน ESG เข้ามามีบทบาทมากมากขึ้น
การลงทุนแบบ ESG จะเป็นที่นิยมและเข้าถึงได้มากขึ้น เนื่องจากมีผลิตภัณฑ์และแพลตฟอร์มที่ตอบสนองความต้องการและระดับความเสี่ยงในการลงทุนที่หลากหลายมากขึ้น
นอกจากนี้นักลงทุนรายย่อยจะสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในตลาดการเงินที่ยั่งยืนได้ผ่าน robo-advisors, ETFs, และอื่น ๆ
และไม่แน่ว่าการลงทุนแบบ ESG อาจหลากหลายมากขึ้น เนื่องจากมีธีมและประเด็นใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นและเปลี่ยนแปลงตามเวลา ต่อยอดมากกว่าแค่เรื่องการปล่อยคาร์บอน
ไม่ว่าจะเป็นประเด็นด้านสิทธิมนุษยชน ความหลากหลายและการยอมรับความแตกต่าง Digitalization เศรษฐกิจหมุนเวียน ความหลากหลายทางชีวภาพ และ Health and Wellness ก็นับเป็น Topic ที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุน ESG
โดยสรุปแล้ว การเคลื่อนไหวด้าน ESG ของ BlackRock ในฐานะผู้นำการลงทุนโลกจะมีผลสำคัญต่อการตัดสินใจของนักลงทุนทั่วโลกให้ตระหนักถึงปัจจัยด้าน ESG ในสินทรัพย์ต่าง ๆ
สินทรัพย์ที่เป็น ESG และส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อมจะเป็นที่ต้องการมากขึ้นด้วย และในภาคธุรกิจเองจะได้รับแรงกดดันสูงจากทั้งในและนอกองค์กร โดยเฉพาะจากนักลงทุน
เพื่อให้ปรับตัวโอบรับการดำเนินธุรกิจภายใต้มาตรฐาน ESG มากขึ้น การตรวจสอบให้คะแนนและรายงานผล ESG ก็จะมีมาตรฐานและโปร่งใสขึ้นเพื่อความสบายใจของนักลงทุน
การลงทุนแบบ ESG จะเป็นที่นิยม เข้าถึงง่ายและหลากหลายขึ้นตามการตระหนักรู้ในภาคการลงทุนและธุรกิจ รวมถึงสังคมที่เปลี่ยนไปอยู่ตลอดเวลา และจากนี้ต่อไป การลงทุนเพื่อความยั่งยืนก็จะยิ่งมีความสำคัญมากขึ้นไปเรื่อยๆ
ที่มา: https://www.setinvestnow.com/th/knowledge/article/269-esg-driven-society-31
https://www.blackrock.com/us/financial-professionals/investment-strategies/sustainable
https://www.pwc.com/th/en/pwc-thailand-blogs/blog-20201224.html